คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2197/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์เข้าทำนาในที่พิพาทก็ถูก จำเลยฟ้องเป็นคดีอาญาข้อหาบุกรุกที่พิพาท ดังนี้ การที่โจทก์ครอบครองที่พิพาทในระหว่างเป็นคดีความไม่ถือ ว่าครอบครองโดย สุจริตและโดย สงบตามป.พ.พ. มาตรา 1370.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่า โดยได้รับมรดกตามพินัยกรรมของนางเฮือง พิมลี มารดาโจทก์ตั้งแต่ พ.ศ. 2525 โจทก์ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา เมื่อปลายเดือนเมษายน 2528 จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปไถหว่านกล้า ทำนา ในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเกี่ยวข้อง ให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนพืชผลออกไปและทำที่ดินให้มีสภาพเดิมมิฉะนั้นก็ให้โจทก์กระทำเองโดยให้จำเลยทั้งสามออกค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่นาตามฟ้องเป็นของนายเหวยหรือเสวย พิมลี น้องชายโจทก์ ซึ่งได้รับมรดกมาจากบิดามารดาพร้อมกับโจทก์และนายลือ พิมลี สามีจำเลยที่ 1 และบิดาจำเลยที่ 2 ที่ 3ไม่ใช่ที่นาของโจทก์ จำเลยทั้งสามไม่ได้บุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินของนายเหวย คงทำนาอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสาม ซึ่งจำเลยทั้งสามรับมรดกมาจากนายลือ หากจะฟังว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ตามพินัยกรรมที่ดินตามฟ้องก็ไม่ได้ยื่นล้ำเข้ามาทางด้านทิศใต้ของที่ดินจำเลยดังแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ โจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน 45 ไร่ของโจทก์ ซึ่งนางเฮือง มารดาทำพินัยกรรมให้ตามเอกสารหมาย จ.2ส่วนที่ดินนาของนายเหวยอยู่ห่างที่พิพาทไปประมาณ 5 กิโลเมตรแต่ฝ่ายจำเลยต่อสู้ว่า ที่นาของโจทก์อยู่คนละแห่งกับนาพิพาทที่นาของโจทก์เรียกว่าที่นาหนองแค่จ่อย ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจ่าศาลไปรังวัดทำแผนที่พิพาท โจทก์ได้นำชี้ว่าที่ภายในเส้นสีเขียวเป็นของโจทก์ คำนวณเนื้อที่ได้ 59 ไร่ ที่นาที่โจทก์รับตามพินัยกรรมมี45 ไร่ จึงต่างกันถึง 14 ไร่ นอกจากนี้ที่พิพาทที่ปรากฏในแผนที่เอกสารหมาย จ.1 มี 27 ไร่ เมื่อหักออกจาก 59 ไร่แล้ว คงเหลือเนื้อที่ 32 ไร่ ซึ่งใกล้เคียงกับที่ฝ่ายจำเลยอ้างว่าที่ของนายเหวยมีประมาณ 30 ไร่และมีเนื้อที่ตรงกับแบบ ภ.บ.ท.6 ของนายเหวยตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.3 สำเนาพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.2ระบุเพียงว่ายกนา 1 แปลง เนื้อที่ 45 ไร่ ให้โจทก์เท่านั้นมิได้ระบุให้ชัดว่าเป็นที่นาแปลงไหน อยู่ที่ใด อาณาเขตติดต่อที่ดินใครบ้าง นายคำภา กุจะพันธ์ กำนัน พยานโจทก์ ผู้เขียนและลงชื่อเป็นพยาน ก็เบิกความว่าเมื่ออ่านพินัยกรรมแล้วไม่ทราบว่ายกที่ดินแปลงใดให้โจทก์และพี่น้องของโจทก์ที่ดินนา 45 ไร่นี้ก่อน ปี 2525เป็นของนายเหวย ต่อมานายเหวยวิกลจริต โจทก์จึงเอามาเป็นของตนเอง จึงน่าเชื่อว่าโจทก์เข้าทำนาในที่ดินของนายเหวยซึ่งมีเนื้อที่ตามที่ระบุ ในรายการเสียภาษีแบบ ภ.บ.ท.6 เอกสารหมาย ล.1และ ล.3 เท่านั้น ซึ่งมีแนวคันนาเป็นเขต ยาวตรงไปเกือบสุดของที่ดิน ที่นานายเหวยอยู่ติดที่นาของจำเลย การรุกล้ำกันย่อมมีขึ้นได้ง่าย ตามแผนที่พิพาทที่ดินของจำเลยภายในเส้นสีม่วงมีเนื้อที่ประมาณ 88 ไร่ ส่วนที่เป็นป่ายังมีมาก น่าเชื่อว่า จำเลยนำชี้รวมเข้ากับที่ดินเดิม 66 ไร่ เนื้อที่จึงมีมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้ความจากนายคำภาพยานโจทก์ว่า ปี 2525 มารดาโจทก์ถึงแก่กรรมโจทก์จึงได้ครอบครองที่ดินของโจทก์ในกรอบเส้นสีเขียว ปี 2526จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาข้อหาบุกรุกที่พิพาท จึงน่าเชื่อว่าโจทก์เข้าทำนาในที่พิพาทเมื่อปี 2526 ก็ถูกจำเลยที่ 1 ฟ้องคดีอาญา การที่โจทก์ครอบครองที่พิพาทในระหว่างเป็นคดีความไม่ถือว่าครอบครองโดยสุจริตและโดยสงบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1370 คดีฟังได้ว่า ที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share