แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยร่วมขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยร่วมใช้ สิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 199 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยร่วมยื่นคำให้การ โดย แนบคำให้การมากับคำร้องด้วย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่า จำเลยร่วมจงใจไม่ยื่นคำให้การจึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยร่วมยื่นคำให้การ ดังนี้เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นใช้ ดุลพินิจ มีคำสั่งไปตาม มาตรา 199 โดย ยังมิได้ตรวจดู คำให้การของจำเลยร่วม จึงมิใช่เป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามมาตรา 18 จะนำเอามาตรา 18 วรรคท้ายมาปรับแก่คดีไม่ได้ คำสั่งที่ว่า จำเลยร่วมจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ย่อมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม มาตรา 226 ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา คำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องหรือไม่รับคำให้การนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยร่วมขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ศาลอนุญาตให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดี ซึ่ง ศาลชั้นต้นได้ มีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องดังกล่าวว่า “ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลง คำสั่งรวม” ดังนี้ คำสั่ง ศาลชั้นต้น ดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่าง พิจารณาและต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในระหว่างพิจารณาเช่นกัน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกสิบล้อ ซึ่งมีลูกจ้างของจำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าวในทางการที่จ้างด้วยความประมาทชนรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันที่ผู้ตายนั่งโดยสารมาอย่างแรงทำให้สามีโจทก์ที่ 1 ถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้เป็นนายจ้างคนขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อในขณะเกิดเหตุ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และการเกิดเหตุในคดีนี้มิใช่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของคนขับรถยนต์บรรทุกนั้น แต่เกิดจากความประมาทของคนขับรถยนต์โดยสาร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
เมื่อศาลชั้นต้นได้ทำการชี้สองสถานและกำหนดประเด็นข้อพิพาทไปแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์เพิ่งทราบจากคำให้การของจำเลยว่าบริษัทถาวรฟาร์ม จำกัด เจ้าของรถยนต์โดยสาร ซึ่งผู้ตายได้นั่งโดยสารมาในขณะเกิดเหตุมีส่วนในการประมาทเลินเล่ออยู่ด้วย จึงขอให้ศาลชั้นต้นหมายเรียกบริษัทดังกล่าวเข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยด้วย ศาลชั้นต้นเห็นว่าตามคำร้องของโจทก์ แสดงว่าโจทก์อาจฟ้องบริษัทถาวรฟาร์ม จำกัด เพื่อให้ใช้ค่าทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) จึงมีคำสั่งอนุญาตให้หมายเรียกบริษัทถาวรฟาร์ม จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ตามคำขอของโจทก์ และเมื่อศาลชั้นต้นออกหมายเรียกดังกล่าวไปแล้วปรากฏว่าจำเลยร่วมมิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดครั้นต่อมาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2530 จำเลยร่วมได้มายื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าเจ้าพนักงานศาลได้นำหมายเรียกและสำเนาฟ้องไปปิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2530 จำเลยร่วมเพิ่งทราบว่าศาลชั้นต้นมีหมายเรียกถึงจำเลยร่วมเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2530ก่อนนั้นไม่ทราบว่าหมายเรียกไปอยู่ ณ ที่ใด จำเลยร่วมจึงขอยื่นคำให้การซึ่งได้แนบมากับคำร้องด้วย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่า จำเลยร่วมจงใจที่จะไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด มีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยร่วม คืนค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลยร่วม ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยร่วมฎีกาประการแรกพอสรุปเป็นใจความได้ว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำให้การของจำเลยร่วมเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 จำเลยร่วมจึงมีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาได้ตามมาตรา 18วรรคท้ายนั้น พิเคราะห์แล้วกรณีแห่งคดีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยร่วมใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาอนุญาตให้จำเลยร่วมยื่นคำให้การเมื่อเลยกำหนดระยะเวลาที่จำเลยร่วมจะยื่นคำให้การได้แล้ว ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยร่วมจงใจที่จะไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยร่วมยื่นคำให้การ ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจมีคำสั่งไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199โดยที่ยังมิได้ตรวจดูคำให้การของจำเลยร่วมแต่อย่างใด จึงมิใช่เป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 จะนำเอามาตรา 18 วรรคท้าย มาปรับแก่คดีไม่ได้ แต่คำสั่งที่ว่า จำเลยร่วมจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่ดังกล่าวย่อมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยร่วมจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยร่วมฎีกาประการต่อไปว่า จำเลยร่วมยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องหรือไม่รับคำให้การลงวันที่ 14 ตุลาคม 2530 จึงขอให้ศาลฎีกาได้พิจารณาและมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องดังกล่าวของจำเลยร่วมด้วยนั้น พิเคราะห์แล้ว คำร้องดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยร่วมขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ศาลอนุญาตให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดี ซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องดังกล่าวว่า “ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งรวม” ซึ่งก็เห็นได้ว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาและต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในระหว่างพิจารณาตามบทกฎหมายที่กล่าวแล้วเช่นกัน ฎีกาข้อนี้ของจำเลยร่วมก็ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.