คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2190/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงที่ว่าหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลย ทั้งสองเด็ดขาดในคดีนี้แล้ว มีเจ้าหนี้อื่นอีกสองรายได้ยื่นขอรับ ชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ด้วยนั้น มิใช่ข้อเท็จจริงที่ เกิดจากทางนำสืบของคู่ความก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ จึงไม่ อาจนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาฟังให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยทั้งสองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด และพิพากษาให้ล้มละลายด้วย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยมิได้เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวยังมีทรัพย์สินพอชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดในคดีนี้แล้ว มีเจ้าหนี้อื่นอีกสองรายได้ยื่นขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ด้วย รวมยอดหนี้ของโจทก์ด้วยเป็นเงิน 6,161,184.38 บาท ต้องฟังว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้น เห็นว่าเจ้าหนี้ทั้งสองรายที่ยื่นขอรับชำระหนี้ในชั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้น หาใช่ข้อเท็จจริงอันเกิดจากทางนำสืบของคู่ความก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไม่จึงไม่อาจนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาฟังให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยทั้งสองคดีฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองยังมีทรัพย์สินพอชำระหนี้ให้โจทก์ได้ จำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นบุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
พิพากษายืน

Share