คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากโจทก์ยกที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตรแล้วจำเลยยังคงเลี้ยงดูโจทก์โดยโจทก์อาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว ต่อมาจำเลยเริ่มเปลี่ยนแปลงโดยแสดงอาการรังเกียจเมื่อโจทก์ไปที่บ้านจำเลย และต่อมาเริ่มด่าว่าโจทก์ว่า”อีหัวหงอก อีสันดานหมา ไม่รู้จักภาษาคนมึงจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป” กับเคยด่าโจทก์ว่า”อีหัวหงอก อีหัวโคน อีสันดานหมา อีตายยาก กูเกิดผิดพ่อผิดแม่ กูเกิดหลงรู”หลังจากนั้นจำเลยขายบ้านที่โจทก์อยู่อาศัยโดยมิได้บอกกล่าว ผู้ซื้อจึงได้รื้อถอนบ้านดังกล่าวไป จำเลยบอกโจทก์ว่า “ก็ไม่เลี้ยงมึงอีก มึงจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป” โจทก์จึงไปอาศัยอยู่กับน้องสาวจำเลย การที่จำเลยด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำรุนแรงดังกล่าวแสดงว่าจำเลยสิ้นความเคารพยำเกรงโจทก์ซึ่งเป็นมารดาเป็นการลบหลู่ และอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ หาใช่เป็นเพียงถ้อยคำไม่สุภาพหรือไม่สมควรกระทำต่อมารดาไม่ ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีสิทธิถอนคืนการให้ เพราะจำเลยประพฤติเนรคุณได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 531(2) แม้คำเบิกความของพยานโจทก์จะมิได้ระบุว่า จำเลยด่าโจทก์เมื่อใด ก็มิใช่สาระสำคัญที่ถึงขนาดทำให้พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้เสียเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำหนังสือสัญญาให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 1682 1697 และ6903 พร้อมบ้านเลขที่ 56 ซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 1682 แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตร โดยตกลงกันว่าจำเลยจะอุปการะเลี้ยงดูและให้โจทก์อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 56 ตลอดไป ต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2540 จำเลยประพฤติเนรคุณโดยด่าโจทก์อย่างหยาบคาย อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง แล้วขายบ้านที่โจทก์อยู่อาศัยขับไล่โจทก์ และไม่ให้อาหารและสิ่งของจำเป็นแก่โจทก์ทั้งที่รู้ว่าโจทก์ยากจนไม่สามารถหาเลี้ยงตนเองได้ ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสามแปลงคืนแก่โจทก์ หากไม่โอนให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ถอนคืนการให้และให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 1682 1697 และ 6903 คืนให้แก่โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามเดิมหากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนโอนให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ยกที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 พร้อมบ้านเลขที่ 56 ซึ่งปลูกบนที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1ให้แก่จำเลย คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้โจทก์เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความยืนยันว่า หลังจากโจทก์ยกที่ดินพร้อมบ้านเลขที่ 56 ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตรแล้ว จำเลยยังคงเลี้ยงดูโจทก์โดยโจทก์อาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว จนกระทั่งถึงปี 2540 จำเลยเริ่มเปลี่ยนแปลงโดยแสดงอาการรังเกียจเมื่อโจทก์ไปที่บ้านจำเลย และต่อมาเริ่มด่าว่าโจทก์ว่า “อีหัวหงอกอีสันดานหมา ไม่รู้จักภาษาคน มึงจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป” และเมื่อเดือนมีนาคม 2540จำเลยขายบ้านเลขที่ 56 ที่โจทก์อยู่อาศัยโดยมิได้บอกกล่าว จากนั้นผู้ซื้อจึงได้รื้อถอนบ้านดังกล่าวไป จำเลยบอกโจทก์ว่า “ก็ไม่เลี้ยงมึงอีก มึงจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป”โจทก์จึงไปอาศัยอยู่กับนางพวง ศรีถาวร บุตรซึ่งเป็นน้องสาวจำเลย ข้อนี้จำเลยเบิกความรับว่า จำเลยได้ขายบ้านเลขที่ 56 ไปจริง ทั้งมีกรณีโต้เถียงกับโจทก์ เนื่องจากโจทก์ดื่มสุรา และในที่สุดโจทก์ได้ไปอาศัยอยู่กับนางพวง โดยมีนางสมพิศ บุตรโจทก์ซึ่งเป็นพี่สาวจำเลยเป็นผู้เลี้ยงดู คำเบิกความของจำเลยจึงเจือสมกับพยานหลักฐานของโจทก์ที่ไม่อาจรับฟังเป็นอย่างอื่นว่า ได้มีความขัดแย้งระหว่างโจทก์และจำเลยในเรื่องที่จำเลยขายบ้านเลขที่ 56 และมีการโต้เถียงกัน ในกรณีที่โจทก์ดื่มสุราจนกระทั่งโจทก์ไม่อาจอยู่กับจำเลยได้ จึงน่าเชื่อว่าได้มีการใช้ถ้อยคำรุนแรงดังที่โจทก์เบิกความ ซึ่งนางสมพิศ และนางพวงได้เบิกความเป็นพยานโจทก์สอดคล้องต้องกันว่าเคยได้ยินจำเลยด่าโจทก์ว่า “อีหัวหงอก อีหัวโคน อีสันดานหมา อีตายยาก กูเกิดผิดแม่ กูเกิดหลงรู” พยานโจทก์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากับจำเลย ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย น่าเชื่อว่าได้เบิกความตามความเป็นจริง มิได้ปรักปรำใส่ร้ายจำเลย ส่วนที่จำเลยอ้างว่าพยานโจทก์ทั้งสองมีส่วนได้รับผลประโยชน์หากมีการถอนคืนการให้นั้น จากคำเบิกความของโจทก์ตอบคำถามค้านได้ความว่า โจทก์ยกที่ดินให้นางสมพิศ 13 ไร่ และยกให้นางพวง 11 ไร่ส่วนจำเลยได้เพียง 3 ไร่ จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่พยานโจทก์ทั้งสองจะกลั่นแกล้งจำเลยเพื่อเอาที่ดิน 3 ไร่ จากจำเลย จำเลยน่าจะเป็นฝ่ายไม่พอใจนางสมพิศ และนางพวง มากกว่า เพราะได้ที่ดินมากกว่าตนสำหรับข้อที่นายหลอม ตองติรัมย์ ผู้ใหญ่บ้าน ได้เบิกความเป็นพยานจำเลยว่า ไม่เคยได้ยินจำเลยด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคายนั้น ก็มิใช่เป็นข้อยืนยันว่า จำเลยมิได้ด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย เพราะต่อหน้าบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ญาติ จำเลยอาจไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อโจทก์ก็เป็นได้พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำรุนแรง แสดงว่าจำเลยสิ้นความเคารพยำเกรงโจทก์ซึ่งเป็นมารดาเป็นการลบหลู่และอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณหาใช่เป็นเพียงถ้อยคำไม่สุภาพหรือไม่สมควรกระทำต่อมารดาไม่ ถ้อยคำดังกล่าวถือได้ว่า เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีสิทธิถอนคืนการให้เพราะจำเลยประพฤติเนรคุณได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) แม้คำเบิกความของพยานโจทก์จะมิได้ระบุว่า จำเลยด่าโจทก์เมื่อใด ก็มิใช่สาระสำคัญที่ถึงขนาดทำให้พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้เสียเลย

พิพากษายืน

Share