คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2185/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีละเมิด โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้อง ขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีในฐานะเป็นจำเลย เท่ากับโจทก์ฟ้องจำเลยร่วมในวันยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องนั่นเอง โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีในฐานะเป็นจำเลยพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ถึงตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อจำเลยร่วมยกอายุความขึ้นต่อสู้คดีโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยร่วมย่อมขาดอายุความ
คำให้การเพิ่มเติมของจำเลยร่วมที่ให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนไม่ใช่เป็นการรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องซึ่งจำเลยร่วมกระทำต่อโจทก์ถือไม่ได้ว่าเป็นการรับสภาพหนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายยอร์ชลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์บรรทุก ก.ท.บ. ๖๕๕๕ตามทางการที่จ้างโดยประมาท ชนท้ายรถบรรทุก น.ฐ. ๐๔๒๒๙ ซึ่งจอดอยู่ทำให้รถบรรทุก น.ฐ. ๐๔๒๒๙ กระแทกท้ายรถยนต์นั่ง ก.ท.ม. ๕๒๑๒ และรถยนต์นั่ง ก.ท.ม. ๕๒๑๒ กระแทกต่อไปชนท้ายรถยนต์บรรทุก น.ฐ. ๐๑๑๓๙ซึ่งจอดเป็นคันหน้า เป็นเหตุให้นางสาวมยุรี บุตรโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด เป็นเงิน ๑๐๖,๙๐๑ บาทแก่โจทก์
คดีอยู่ระหว่างจำเลยยื่นคำให้การแก้คดี โจทก์ยื่นคำร้องว่าเหตุที่นางสาวมยุรีต้องได้รับบาดเจ็บและเสียหายนี้ เกิดจากนายเสน่ห์เกิดสนอง ลูกจ้างของนายปรีชา ศิริผ่องแผ้ว ได้ขับรถยนต์บรรทุก น.ฐ. ๐๔๒๒๙ตามทางการที่จ้าง โดยประมาทด้วย ซึ่งนายปรีชา ศิริผ่องแผ้ว ได้ทำหนังสือรับรองความเสียหาย และยอมรับผิดในความเสียหาย เป็นการรับสภาพหนี้โจทก์จึงขอเพิ่มเติมคำฟ้องเดิม โดยขอถือเอาข้อความตามคำร้องเป็นคำฟ้องเพิ่มเติม และขอให้ศาลหมายเรียกนายปรีชา ศิริผ่องแผ้ว เข้ามาเป็นจำเลยร่วมและมีคำพิพากษาบังคับให้ร่วมกับจำเลยชำระค่าเสียหายตามคำขอท้ายฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยมิได้ยื่นคำให้การตามกำหนด โจทก์มิได้มีคำขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลย
จำเลยร่วมให้การปฏิเสธความรับผิดหลายประการ กับให้การด้วยว่าฟ้องโจทก์กับคำร้องแก้ไขฟ้องของโจทก์และคำร้องเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยในคดีขาดอายุความฟ้องร้อง จำเลยร่วมไม่เคยรับสภาพหนี้และคำรับสภาพหนี้ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ เหตุละเมิดเกิดเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๑๒โจทก์ฟ้องจำเลยวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๑๓ เนื่องจากวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๑๓เป็นวันหยุดราชการ ถือว่าโจทก์ฟ้องจำเลยภายในกำหนดอายุความ ๑ ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ วรรคแรก แต่โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้อง โดยขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีในฐานะเป็นจำเลยเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๑๓ เท่ากับโจทก์ฟ้องจำเลยร่วมในวันยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องนั่นเอง ซึ่งเกินกำหนด ๑ ปีนับแต่วันเหตุละเมิดได้เกิดขึ้น และตามทางพิจารณาเชื่อได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดในวันที่เกิดเหตุและรู้ตัวจำเลยร่วมผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนหลังเกิดเหตุประมาณ ๑๐ วันเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยร่วมในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๑๓ ฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวจำเลยร่วมผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยร่วมทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.๔๓ ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษต้องถืออายุความ ๑๐ ปี นั้นได้พิเคราะห์แล้ว เอกสารหมาย จ.๔๓ เป็นเพียงคำให้การเพิ่มเติมของจำเลยร่วมที่ให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งจำเลยร่วมกระทำต่อโจทก์ ถือไม่ได้ว่าเป็นการรับสภาพหนี้ดังโจทก์อ้าง กรณีจึงต้องถืออายุความ ๑ ปีตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว
พิพากษายืน

Share