แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยยิงผู้ตาย จำเลยมีโรคจิต แต่ยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง ศาลจำคุก 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,65วรรค 2
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลย 10 ปี ตามมาตรา 288, 65 วรรคสอง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2517 เวลาประมาณ 9 นาฬิกาเศษ นายดำผู้ตายนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟของนางมะลิ ได้ถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงจนถึงแก่ความตายปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำผิดในขณะมีโรคจิต แต่ยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้างหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พลตำรวจสุพจน์พยานโจทก์เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุเดือนเศษพบเห็นจำเลยเสมอ จำเลยมีสติไม่ค่อยดี คนที่ตลาดดอนปรูเรียกจำเลยว่า “อ้ายผาดบ้า” ก่อนเกิดเหตุประมาณ 3-4 วัน จำเลยเคยเอาปืนจะไปยิงคนที่เดินผ่านไปมาที่หน้าร้าน พลตำรวจสุพจน์เข้าแย่งปืนไว้ได้และเก็บไว้ที่พักสายตรวจ ภายหลังจึงคืนให้จำเลยไป นายจำลองพยานโจทก์เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุบางวันจำเลยก็จะมีอารมณ์ดี บางวันก็อารมณ์ร้าย เคยถือปืนออกไปเดินกลางถนน บางครั้งเดินร้องไห้ไปตามถนน ปกติชาวบ้านว่าจำเลยบ้า จำเลยและนางจำรัส ภรรยาจำเลย นายดาบตำรวจประกอบ มัจฉา นายเผือด เหมือนสังข์ดี จ่าสิบตำรวจเลื่อน พองโต พยานจำเลยเบิกความว่า จำเลยเป็นโรคจิตไม่ปกติมาก่อนเกิดเหตุปีเศษ นางจำรัสเคยส่งจำเลยไปรักษาตามวัด จำเลยเคยร้องรำทำเพลงไปตามถนนในตลาดจนคนในตลาดเรียกจำเลยว่า “อ้ายผาดบ้า” ขณะเกิดเหตุจำเลยและผู้ตายไปดื่มกาแฟในร้านนางมะลิ พงษ์รื่น จำเลยหาว่าผู้ตายลักเงิน แล้วใช้ปืนยิงหน้าผู้ตาย 2 นัด จากนั้นจำเลยเดินไปตามถนนยิงปืนขึ้นฟ้าบ้าง ลงดินบ้าง แล้วอาละวาดจับคอเสื้อนายทองสุข นายทองสุขสะบัดหลุดหนีไป จำเลยจับนางจงภรรยาของนายทองสุข นางจงว่าไม่รู้เรื่องจำเลยก็เข้าไปบีบคอนางเยี่ยม พอดีพลตำรวจสุพจน์มาถึง จึงเข้าแกะมือจำเลยและจะแย่งปืนจำเลย แต่แย่งไม่ได้ จำเลยดิ้นหลุดจากพลตำรวจสุพจน์วิ่งไปที่ผู้ตายนอน พูดว่า “มึงยังไม่ตายหรือ” แล้วจำเลยใช้ปืนยิงใบหน้าผู้ตายอีก 1 นัด จากนั้นจำเลยวิ่งหนีไป อีก 3 วัน ต่อมานายเผือดน้องจำเลยติดตามพบจำเลยจึงหลอกจำเลยไปดูภาพยนตร์กลางแปลงในบริเวณวัดป่าพระเจ้า แล้วนายเผือดถือโอกาสแอบไปแจ้งนายดาบตำรวจประกอบมาจับกุมจำเลยได้ นายดาบตำรวจประกอบสอบถามจำเลย จำเลยพูดจาไม่รู้เรื่อง จึงนำส่งมอบให้แก่พันตำรวจตรีเฉลิมชาติ ลิตานนท์ พนักงานสอบสวน พันตำรวจตรีเฉลิมชาติ ลิตานนท์ พนักงานสอบสวนเห็นว่าจำเลยคล้ายคนวิกลจริต จึงส่งไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง การตรวจรักษาจำเลยทั้ง 2 ครั้ง นายแพทย์ได้จ่ายยาให้จำเลยก่อนจะให้ออกจากโรงพยาบาล นายแพทย์สุรินทร์ ปิ่นรัตน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนิติจิตเวชตรวจสอบแล้ว ยืนยันว่าจำเลยวิกลจริต ก่อนจำเลยยิงผู้ตายจำเลยได้กล่าวหาว่าผู้ตายลักเงินของจำเลยครั้งนี้ แสดงว่าจำเลยยังรู้ผิดชอบอยู่ จำเลยจึงต้องรับโทษสำหรับความผิดของจำเลย แต่จากพยานหลักฐานทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยที่เบิกความกับอาการป่วยของจำเลยนั้นก่อนเกิดเหตุจำเลยมีอาการผิดปกติไปจากคนธรรมดา บางขณะก็คุ้มดีคุ้มร้าย บางขณะก็เป็นปกติธรรมดา เพียงสงสัยว่าใครเป็นคนร้ายลักเงินบุคคลธรรมดาก็คงไม่ถึงกับยิงผู้นั้น ยิงแล้วคงไม่วิ่งไปยิงปืนขึ้นฟ้าหรือลงดินดังเช่นกรณีจำเลย พฤติการณ์ของจำเลยจึงฟังได้ว่า ระหว่างเวลาเกิดเหตุจำเลยมีโรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน บางขณะไม่มีความรู้สึกผิดชอบเยี่ยงบุคคลธรรมดา ศาลฎีกาเชื่อว่าขณะจำเลยกระทำความผิดนั้น จำเลยมีโรคจิตแต่ยังสามารถรู้สึกผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง”
พิพากษายืน