คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2178/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยกระทำความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่3/2529 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2529 ข้อ 20ออกตามความในมาตรา 3 แห่ง พ.ร.ก. แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ซึ่งระบุว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดนำก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ หรือถ่ายก๊าซออกจากถังก๊าซหุงต้มนอกสถานที่บรรจุก๊าซ ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีใด ๆ ทั้งสิ้น “อันเป็นคำสั่งที่ห้ามเด็ดขาดไม่มีข้อยกเว้นให้อนุญาตให้ทำได้จึงเป็นความผิดอยู่ในตัวมิใช่อยู่ที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ ดังนั้น เครื่องมือเครื่องใช้ในการถ่ายก๊าซคือเครื่องสูบก๊าซ ท่อพักก๊าซ ถังเก็บก๊าซและจ่ายก๊าซ ถังก๊าซหุงต้มเศษเหล็กของถังก๊าซซึ่งระเบิดเสียหาย สายสูบก๊าซพร้อมหัวสูบ เครื่องชั่งน้ำหนัก แท่นรอง ถังก๊าซ และรถยนต์บรรทุกถังก๊าซ ของกลาง จึงเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ศาลมีอำนาจริบได้ตาม ป.อ.มาตรา 33.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 28ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2514 ข้อ 2, 4 พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 3, 8 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2520 มาตรา 3 คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 3/2529 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2529ข้อ 20 พระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2484 มาตรา 8, 68ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการค้าซึ่งเป็นที่รังเกียจหรืออาจเป็นอันตรายแก่สุขภาพ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2526 ข้อ 4 (84)ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 225, 390 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 28 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2514 ข้อ 2, 4พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2516 มาตรา 3, 8 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2520 มาตรา 3 คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 3/2529 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 30กรกฎาคม พ.ศ. 2529 ข้อ 20 พระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2484มาตรา 8, 68 ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการค้าซึ่งเป็นที่รังเกียจหรืออาจเป็นอันตรายแก่สุขภาพ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2526 ข้อ4(84) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 225, 390พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526มาตรา 4 ความผิดตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันฯ มาตรา 3, 8 และประกาศของคณะปฏิวัติฯ ข้อ 2, 4 ลงโทษตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันฯ มาตรา 3, 8 บทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 8 ปี ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 225, 390 ลงโทษตามมาตรา 225 บทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 ปีลงโทษตามพระราชบัญญัติสาธารณสุขฯ มาตรา 8, 68 ปรับคนละ 100 บาทรวม 3 กระทง ให้จำคุกคนละ 14 ปี และปรับคนละ 100 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 7 ปี และปรับคนละ 50 บาท ของกลางไม่ริบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 28 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2514 ข้อ 2, 4พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2516 มาตรา 3, 8 ที่แก้ไขแล้ว คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 3/2529 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2529 ข้อ 20 ลงโทษตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงฯ บทหนักอีกกระทงหนึ่งจำคุกคนละ 8 ปี จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ตามมาตรา 78กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาในชั้นนี้คงมีตามฎีกาโจทก์เพียงว่าควรริบของกลางหรือไม่เท่านั้น…เห็นว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ 3/2529 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2529ซึ่งออกตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ข้อ 20 อยู่ด้วย ซึ่งคำสั่งข้อนี้ระบุว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดนำก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ หรือถ่ายก๊าซออกจากถังก๊าซหุงต้มนอกสถานที่บรรจุก๊าซ ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีใด ๆ ทั้งสิ้น” อันเป็นคำสั่งที่ห้ามเด็ดขาดไม่มีข้อยกเว้นให้อนุญาตให้ทำได้จึงเป็นความผิดอยู่ในตัวไม่ใช่อยู่ที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ ดังนั้นเครื่องมือเครื่องใช้ในการถ่ายก๊าซจึงถูกริบได้ แม้คำสั่งและพระราชกำหนดดังกล่าวจะมิได้บัญญัติให้ริบไว้โดยเฉพาะแต่ก็มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงนำเอาบทบัญญัติทั่วไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)ที่ว่าเป็นทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดมาใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 โดยเฉพาะอย่างยิ่งของกลางคดีนี้คือเครื่องสูบก๊าซชนิดไอพร้อมมอเตอร์เครื่องสูบก๊าซชนิดเหลวพร้อมมอเตอร์ ท่อพักก๊าซ ถังเก็บก๊าซและจ่ายก๊าซ ถังก๊าซหุงต้ม เศษเหล็กของถังก๊าซซึ่งระเบิดเสียหาย สายสูบก๊าซ สายสูบก๊าซพร้อมหัวสูบ เครื่องชั่งน้ำหนัก แท่นรองถังก๊าซ รถยนต์บรรทุกถังก๊าซขนาด 13,000 ลิตร หมายเลขทะเบียน 80-2487 พระนครศรีอยุธยาก็ล้วนแต่มีสภาพที่ได้ใช้และมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดทั้งสิ้นประกอบกับเมื่อโจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าจำเลยทั้งสามได้ใช้และมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด จำเลยทั้งสามก็ให้การรับสารภาพตามฟ้องจึงต้องฟังว่าของกลางคดีนี้เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดซึ่งศาลมีอำนาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา33…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบของกลางทั้งหมด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share