แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยหลอกลวงโจทก์ร่วมว่าสามารถช่วยเหลือโจทก์ร่วมให้เข้าทำงานเป็นพนักงานของการรถไฟ ฯ ได้โดยไม่ต้องสอบและเรียกเงินจากโจทก์ร่วมอ้างว่าจะนำไปเป็นค่าติดต่อกับผู้ใหญ่และเป็นค่าใช้จ่าย ไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมให้เงินไปเพื่อให้จำเลยนำไปให้เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการใด ๆ อันมิชอบด้วยหน้าที่ ถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้ให้กระทำผิดกฎหมายโจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย
ความผิดฐานฉ้อโกง ศาลชั้นต้นยกฟ้องปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจึงไม่ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 22ทวิ และเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะพิจารณาว่าเป็นการจำเป็นหรือไม่ที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่จำเป็นและสมควรวินิจฉัยเสียเองก็ย่อมกระทำได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อระหว่างวันที่ 10 พฤษภาคม 2526 เวลากลางวันถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2526 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงนางสาวศศิธร บุญสุขผู้เสียหาย (โจทก์ร่วม) ว่าจำเลยกับพวกสามารถช่วยเหลือผู้เสียหายให้เข้าทำงานเป็นพนักงานของการรถไฟ ฯ ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงินได้โดยไม่ต้องสอบเข้า เพราะพวกของจำเลยมีสามีเป็นนายสถานีรถไฟหัวลำโพง สามีของพวกจำเลยจะเป็นผู้ดำเนินการให้ผู้เสียหายเข้าทำงานได้ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงจ่ายเงินจำนวน 20,000 บาทให้จำเลยกับพวกไปความจริงจำเลยกับพวกไม่มีเจตนาจะดำเนินการให้ผู้เสียหายเข้าทำงานการรถไฟ ฯ ก็มิได้เปิดรับสมัครพนักงานเจ้าหน้าที่การเงินในระหว่างเกิดเหตุ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 83และคืนเงินแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ลงโทษจำคุกคนละ 6 เดือนและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินแก่โจทก์ร่วม
จำเลยทั้งสองฎีกา
ระหว่างฎีกาโจทก์ร่วมขอถอนคำร้องทุกข์เฉพาะจำเลยที่ 2ศาลฎีกาเห็นว่าสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39 (2) ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2
ศาลฎีกาวินิจฉัยคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ว่าปัญหาว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยรับเงินจากโจทก์ร่วมโดยบอกว่าจะนำไปเป็นค่าติดต่อกับผู้ใหญ่ให้เข้าทำงานและเป็นค่าใช้จ่ายข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมให้เงินไปเพื่อให้จำเลยนำไปให้เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการใด ๆ อันมิชอบด้วยหน้าที่ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมได้ร่วมกับจำเลยนำสินบนไปให้แก่เจ้าพนักงานอันเป็นการใช้ให้กระทำผิดกฎหมาย โจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย มีสิทธิร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับจำเลย
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจยกปัญหาข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัย เพราะคดีนี้ศาลแขวงนครสวรรค์พิพากษายกฟ้อง การอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องมีการดำเนินการตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ.2499 มาตรา 22 ทวิ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย จึงไม่ต้องดำเนินการตามบทกฎหมายดังกล่าว และเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะพิจารณาว่าเป็นการจำเป็นหรือไม่ที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่จำเป็นและสมควรวินิจฉัยเสียเองก็ย่อมกระทำได้โดยชอบ
พิพากษายืน.