แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีคำสั่งกองกำกับการตำรวจภูธรที่จำเลยสังกัดกำหนดให้จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างซ่อมแซมสถานที่ราชการและมีหน้าที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างเขียนใบเสร็จรับเงินเสนอรองผู้กำกับการตำรวจภูธรต้นสังกัดลงชื่อเป็นผู้รับเงินและนำเงินที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างได้ส่งมอบแก่สมุห์บัญชีกองกำกับการฯเพื่อส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไปจำเลยมิได้นำเงินที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างได้จำนวน7,600บาทส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินตามระเบียบจนพนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบพบและแนะนำให้จำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวส่งคลังจำเลยจึงปฏิบัติตามพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริตเป็นผิดตามป.อ.มาตรา147,157,158แต่เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามป.อ.มาตรา147ซึ่งเป็นบทเฉพาะของมาตรา157แล้วการกระทำนั้นก็ไม่เป็นความผิดตามป.อ.มาตรา157ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,157, 158
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 157, 158 แต่การกระทำของจำเมาตรา 147, 157, 158 แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 5 ปี จำเลยชดใช้เงินคืนแล้วเป็นการบรรเทาผลร้ายเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 2 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี 6 เดือน จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ปฏิบัติงานตามคำสั่งกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย ที่ 72/2523โดยเฉพาะข้อ 9.9 กำหนดให้จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ ตลอดจนการซ่อมแซมสถานที่ราชการ และผู้บังคับบัญชามอบหมายให้จำเลยมีหน้าที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้าง ตลอดจนเป็นผู้เขียนใบเสร็จรับเงินนำเสนอรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเลยลงชื่อเป็นผู้รับเงินและนำเงินที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างนั้นส่งมอบแก่สมุห์บัญชีกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย เพื่อส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไปด้วย ต่อมาพนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบพบว่าเงินค่าจำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างรวมเป็นเงิน 7,600 บาทจำเลยยังมิได้นำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินตามระเบียบของทางราชการพฤติการณ์ของจำเลยเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริต เมื่อพนักงานตรวจเงินแผ่นดินแนะนำให้จำเลยนำเงินส่งคลัง จำเลยก็จัดการนำเงินจำนวนดังกล่าวส่งคืนเป็นรายได้ของแผ่นดินในภายหลัง ที่จำเลยฎีกาอ้างเป็นข้อกฎหมายว่า จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างและรับเงินค่าจำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างส่งเป็นรายได้ของแผ่นดิน และการที่จำเลยไม่นำเงินค่าจำหน่ายแบบแปลนการก่อสร้างส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินก็เพราะหาใบเสร็จรับเงินไม่พบ จำเลยจึงเก็บเงินนั้น เมื่อพนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจพบและแนะนำให้จำเลยเอาเงินส่งคลัง จำเลยก็ได้จัดการนำเงินจำนวนดังกล่าวส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินจนครบ จำเลยมิได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและไม่มีเจตนาเบียดบังทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาทั้งสิ้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แต่ที่ศาลล่างทั้งสองปรับลงโทษจำเลยว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,157, 158 ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นบทหนักนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว การกระทำนั้นก็ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นทั่วไปอีก ปัญหาเรื่องการปรับบทมาตราลงโทษจำเลยนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามพิพากษาศาลอุทธรณ์.