คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2170/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่ผู้มีอำนาจชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 31 ไม่ให้คำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ภายในเวลาอันสมควร ผู้รับประเมินมีความชอบธรรมที่จะนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกเงินค่าภาษีซึ่งผู้รับประเมินถือว่าไม่ควรต้องเสียคืนได้ โดยไม่จำต้องรอให้มีคำชี้ขาดก่อน
โจทก์นำคดีมาฟ้องภายหลังที่ยื่นคำร้องต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 2 เพื่อขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่เป็นเวลาเพียง 3 เดือนเศษนับแต่วันยื่นคำร้อง ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ให้คำชี้ขาดภายในเวลาอันสมควรโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนของจำเลยที่ 3 แล้วให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับจากก่อนวันฟ้อง 1เดือน จนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ใช้โรงเรือนพิพาทตามฟ้องเป็นสถานที่ประกอบกิจการค้าตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ แม้จะมิได้ใช้เป็นที่เก็บสินค้าหรือประกอบอุตสาหกรรมก็มิใช่เหตุผลในอันที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนแต่ประการใดกรณีจึงมิใช่เป็นการใช้โรงเรือนเพื่ออยู่เอง หรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาอันจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 ที่แก้ไขแล้ว การประเมินภาษีของจำเลยที่ 3จึงชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 31 เมื่อผู้รับประเมินไม่พอใจคำชี้ขาดของผู้มีอำนาจที่มาตรานั้นกำหนดไว้ ผู้รับประเมินจะนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าการประเมินไม่ถูกต้องก็ได้ แต่ต้องทำภายในสามสิบวันนับแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาด คดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม2527 แล้วนำคดีมาฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2528ก่อนที่จะมีคำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ของโจทก์ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2528 เป็นการนำคดีมาฟ้องผิดขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กฎหมายบัญญัติขั้นตอนของการที่จะนำคดีไปสู่ศาลไว้เป็นลำดับ กล่าวคือ เมื่อผู้รับประเมินไม่พอใจการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ และเมื่อได้รับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาดแล้วยังไม่พอใจอีกจึงจะนำคดีไปสู่ศาลเพื่อแสดงให้เห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูกได้ ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 มิได้พิจารณาและมีคำชี้ขาดคำร้องภายในเวลาอันสมควรนั้น ปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2527 แล้วนำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่4 กุมภาพันธ์ 2528 เป็นระยะเวลาเพียงสามเดือนเศษ นับแต่วันที่ยื่นคำร้อง ทั้งต่อมาจำเลยที่ 2 ก็มีคำชี้ขาดแล้วเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2528 ดังนี้จะถือว่าจำเลยที่ 2 มิได้ชี้ขาดภายในเวลาอันสมควรหาได้ไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องชอบแล้ว พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 31 ผู้รับประเมินจะนำคดีไปสู่ศาลเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าการประเมินไม่ถูกก็ได้ แต่ต้องทำภายในสามสิบวันนับแต่วันรับแจ้งความให้ทราบคำชี้ขาดของผู้มีอำนาจที่มาตรานี้ระบุไว้ แต่ถ้าผู้มีอำนาจในมาตรานี้ไม่ให้คำชี้ขาดภายในเวลาอันสมควร ไม่มีบทมาตราใดบังคับให้ผู้รับประเมินปฏิบัติอย่างไรเมื่อพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 ไม่ได้บังคับในเรื่องเช่นนี้ไว้ และไม่มีบทกฎหมายอื่นใดห้ามมิให้ผู้รับประเมินนำคดีมาฟ้องศาลเพื่อขอเรียกเงินคืน ประกอบทั้งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 ก็มีความมุ่งหมายให้ผู้เสียเงินภาษีไปโดยไม่ถูกต้องฟ้องเรีียกเงินคืนได้ กรณีที่ผู้มีอำนาจตามที่ระบุไว้ในมาตรา 31 ไม่ให้คำชี้ขาดภายในเวลาอันสมควรผู้รับประเมินจึงมีความชอบธรรมที่จะนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกเงินค่าภาษีซึ่งผู้รับประเมินถือว่าไม่ควรต้องเสียคืนได้อีกกรณีหนึ่งด้วย เพราะไม่เช่นนั้นหากผู้มีอำนาจที่กล่าวไม่ยอมให้คำชี้ขาด ผู้รับประเมินไม่มีโอกาสที่จะได้เงินที่ไม่ควรต้องเสียคืนได้เลยรูปคดีเช่นนี้ศาลฎีกาได้พิพากษาไว้เป็นแบบอย่างแล้วตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1550/2482 ระหว่าง บริษัทแม่น้ำมอเตอร์โบ๊ตจำกัด โจทก์ กรมสรรพากร จำเลย กรณีตามฟ้องจึงมีปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งมีอำนาจชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ของโจทก์ ไม่ให้คำชี้ขาดในเวลาอันสมควรหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่ได้ความ โจทก์นำคดีมาฟ้องภายหลังที่ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 2 เพื่อขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ เป็นเวลาเพียง 3 เดือนเศษ คดีไม่ได้ความว่า คำร้องที่ยื่นต่อจำเลยที่ 2 เพื่อขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่มีเฉพาะแต่ของโจทก์เพียงเรื่องเดียวและจำเลยที่ 2 มีหน้าที่เฉพาะเพียงการนี้เท่านั้น ทั้งเมื่อได้รับคำร้องดังกล่าวแล้วพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา28, 29 ให้อำนาจจำเลยที่ 2 ออกหมายเรียกผู้ร้องมาซักถามให้นำพยานหลักฐานมาสนับสนุนคำร้องของตนซึ่งต้องให้เวลาล่วงหน้าอีก เห็นได้ว่าการชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ของจำเลยที่ 2 เป็นเรื่องต้องใช้เวลาซึ่งเมื่อพิเคราะห์ถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่กล่าว ประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยที่ 2 ไม่ชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ ภายในเวลาสามเดือนเศษนับแต่วันที่โจทก์ยื่นคำร้องขอ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่2 ไม่ให้คำชี้ขาดในเวลาอันสมควรโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องที่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อในที่สุดผลการชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ของโจทก์ จำเลยที่ 2 ได้ส่งคำชี้ขาดให้โจทก์ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2528 โดยยืนตามความเห็นของจำเลยที่ 3 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้นั้นเห็นว่า อำนาจฟ้องในกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อจำเลยที่ 2 ให้คำชี้ขาดแล้วไม่มีผลย้อนหลังไปทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์ซึ่งบกพร่องอยู่บริบูรณ์ขึ้นมาได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share