คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2156/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หนังสือสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำไว้แก่โจทก์ ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์มาแต่ต้น แต่เมื่อโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเข้าเบิกความ โจทก์ได้อ้างส่งหนังสือสัญญาดังกล่าวเป็นพยาน โดยได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนบริบูรณ์ตามกฎหมายและศาลได้รับรวมสำนวนไว้แล้วจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้โดยไม่จำต้องเสียอากรเพิ่มตามมาตรา 113 แห่งประมวลรัษฎากรให้ครบถ้วน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางอาภรณ์ ทองคำกุล ได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปโดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน เมื่อครบกำหนดชำระหนี้นางอาภรณ์ผิดนัด ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์โจทก์ขีดฆ่าแก้ไขสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำให้นางอาภรณ์มาเป็นชื่อโจทก์โดยพลการ เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง ตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยฎีกาว่าเอกสารหมาย จ.1 ไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ เพราะโจทก์ปิดอากรแสตมป์เมื่อพ้น 90 วัน นับแต่วันต้องปิดอากรแสตมป์โดยมิได้เสียอากรเพิ่มต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเข้าเบิกความ โจทก์ได้อ้างส่งเอกสารหมาย จ.1เป็นพยาน ซึ่งเอกสารดังกล่าวได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนบริบูรณ์ตามกฎหมายและศาลชั้นต้นได้รับรวมสำนวนไว้แล้ว จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้โดยไม่จำต้องเสียอากรเพิ่มตามมาตรา 113แห่งประมวลรัษฎากรให้ครบถ้วนก่อน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2”
พิพากษายืน

Share