คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2156/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามสัญญาข้อ 8 โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้หากจำเลยไม่ส่งมอบของหรือส่งมอบไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วนและมีสิทธิเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกัน รวมทั้งมีสิทธิที่จะซื้อของจากผู้อื่นและเรียกราคาที่เพิ่มขึ้นจากจำเลย ตามสัญญาข้อ 9 โจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา และมีสิทธิเรียกเอาค่าปรับจากจำเลยเป็นรายวันได้ ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของให้แก่โจทก์เลยโจทก์ได้ใช้สิทธเลิกสัญญาและเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกัน อันเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 8 แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าปรับเป็นรายวันจากจำเลยตามสัญญาข้อ 9 ได้อีก
ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1ไม่มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายลูกปืน จำเลยทั้งสองมิได้โต้แย้งเป็นประการอื่น ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาซื้อขายลองลูกปืน ไม่ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ตามกำหนด โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยต้องเสียค่าปรับให้โจทก์ตามข้อตกลงนับแต่วันครบกำหนดถึงวันบอกเลิกสัญญา รวม 264 วัน เป็นเงิน 7,413,120 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่าได้ทำสัญญาขายลองลูกปืนให้โจทก์จริง แต่การสั่งอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกชนิดเข้ามาจำหน่ายอยู่นอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้วจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด โจทก์ไม่มีสิทธิปรับจำเลยโจทก์จะริบเงินที่นำมาเป็นหลักประกันไม่ได้และไม่มีสิทธิให้ธนาคารทหารไทยผู้ค้ำประกันนำเงินไปชำระให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิเลิกสัญญา ริบเงินประกันและมีสิทธิปรับจำเลยได้ โจทก์มิได้แจ้งผลการพิจารณาที่จำเลยขอต่ออายุสัญญาให้ทราบ และเมื่อเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ได้ซื้อลองลูกปืนจากผู้อื่น ทำให้โจทก์ได้รับของไม่ครบจำนวนเห็นสมควรกำหนดค่าปรับเท่ากับราคาลองลูกปืนที่โจทก์ได้รับน้อยลงเป็นเงิน 3,179,960 บาท พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 3,179,960 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า หักเงินประกันให้ 1,404,000บาท จำเลยทั้งสองคงรับผิดใช้เงินจำนวน 1,775,960 บาทให้โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในเบื้องแรกว่า โจทก์มีสิทธิที่จะปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง (0.2) ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ นับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันบอกเลิกสัญญาจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 หรือไม่ โดยโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ต่างฎีกาโต้แย้งกันและต่างอ้างสัญญาซื้อขายลองลูกปืน 40 มม.แอล 60 เอกสารหมาย จ.4 ข้อ 8 และข้อ 9 พิเคราะห์แล้ว สัญญาดังกล่าวข้อ 8 กำหนดไว้ว่า ‘เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญานี้แล้ว ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อหรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7เป็นจำนวนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้แล้วแต่ผู้ซื้อจะเห็นสมควร และถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นเต็มจำนวนหรือเฉพาะจำนวนที่ขาดส่ง แล้วแต่กรณีภายในกำหนด 3เดือน นับแต่วันที่บอกเลิกสัญญาโดยให้นับวันที่บอกเลิกสัญญาเป็นวันเริ่มต้น ผู้ขายยอมรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากที่กำหนดไว้ในสัญญานี้ด้วย’ สัญญาข้อ 9 กำหนดไว้ว่า’ในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง(0.2) ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วน ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา และริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7กับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 8 นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้’ ศาลฎีกาเห็นว่า ในกรณีผู้ขายคือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญานั้น สัญญาดังกล่าวได้กำไนดให้สิทธิแก่ผู้ซื้อคือโจทก์ 2 ประการ โดยประการแรกกำหนดไว้ในสัญญาข้อ 8 ว่า โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้เนื่องจากจำเลยไม่ส่งมอบของหรือส่องมอบไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน และมีสิทธิเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกัน รวมทั้งมีสิทธิที่จะซื้อของจากผู้อื่นและเรียกราคาที่เพิ่มขึ้นจากจำเลย และนอกจากนี้โจทก์ยังมีสิทธิตามสัญญาข้อ 9 โดยไม่ใช้สิทธิเลิกสัญญาก็ได้ ซึ่งตามสัญญาข้อ 9 ถ้าโจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและยินยอมให้จำเลยนำสิ่งของที่ซื้อขายตามสัญญามาส่งให้แก่โจทก์ โจทก์จึงจะมีสิทธิเรียกร้องเอาค่าปรับจากจำเลยเป็นรายวันได้ในอัตราร้อยละศูนย์จุดสอง (0.2) ของราคาสิ่งของ นับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยนำสิ่งของมาส่งให้แก่โจทก์จนถูกต้องครบถ้วน ฉะนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ส่งมอบสิ่งของให้แก่โจทก์เลย ซึ่งโจทก์ก็ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาและเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันอันเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 8 โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าปรับเป็นรายวันจากจำเลยที่1 ที่ 2 ตามสัญญาข้อ 9 ได้อีก
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายลองลูกปืน ดังนั้น สัญญาจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยทั้งสอง ปัญหาดังกล่าวศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาท และจำเลยทั้งสองไม่ได้โต้แย้งเป็นประการอื่น จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และดังนั้นจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยในเรื่องอื่นอีก’
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์.

Share