แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยเอาเงินของผู้ตายไปจำนวน 9,100 บาท แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์ ก็เป็นการรับสารภาพในคดีส่วนอาญาเท่านั้น หาใช่มีผลเป็นการยอมรับว่าจำเลยได้เอาเงินจำนวน9,100 บาท ของผู้ตายไปอันเป็นข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งด้วยไม่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 47 จำเลยจะต้องรับผิดในคดีส่วนแพ่งมากน้อยเพียงใดนั้น ต้องพิจารณาตามกฎหมายในทางแพ่งและตามความเสียหายที่จำเลยเป็นผู้ก่อขึ้นจริง เมื่อปรากฏตามบันทึกคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวน และบันทึกการชี้ ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพได้ความว่าจำเลยกับพวกค้นเอาเงินจำนวน 200 บาท ของผู้ตายจากกระจาด เก็บเงินไป เช่นนี้ จำเลยจึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหาย ความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคสอง มีโทษจำคุกไม่เกินสิบปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับถือว่าเป็นบทที่มีโทษหนักกว่ามาตรา 72 วรรคสาม ที่มีโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83,91, 289, 339, 340 ตรี พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8, ทวิ, 72, 72 ทวิ กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 9,100 บาท แก่นางเอ้ยด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 340 ตรี, 83 และมาตรา 289 (6)การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักตามมาตรา 289 (6) ประกอบมาตรา 90 ให้ประหารชีวิต นอกจากนี้จำเลยยังมีความผิดตามมาตรา 371 อีกกระทงหนึ่ง ปรับ 90 บาท รวมโทษประหารชีวิตและปรับ 90 บาท จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนและในชั้นพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงลงโทษจำคุกตลอดชีวิตปรับ 60 บาทให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 9,100 บาท แก่นางเอ้ย แสงสว่าง คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 วรรคสอง และวรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 72วรรคสาม อันเป็นบทหนัก จำคุก 6 เดือน และลงโทษฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมชั้นสอบสวนและชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงลงโทษฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก3 เดือน และฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 เดือน เมื่อรวมโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตกับให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 200 บาท แก่นางเอ้ย แสงสว่าง ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ข้อแรกว่า จำเลยจะต้องคืนหรือใช้เงินให้นายเอ้ย แสงสว่าง ผู้เสียหายเป็นจำนวนเท่าใด …พิเคราะห์แล้วที่โจทก์ฎีกาว่า แม้โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยได้เอาเงินของผู้ตายไปเท่าใด แต่โจทก์ก็มีผู้เสียหายเบิกความซึ่งแม้จะเป็นเพียงข้อสันนิษฐานก็ถูกต้องสอดคล้องกับคำรับสารภาพของจำเลย ทำให้ฟังได้ว่าจำเลยกับพวกเอาเงินสดของผู้ตายไปจำนวน 9,100 บาท นั้น พยานโจทก์คงมีนางเอ้ย แสงสว่างผู้เสียหายซึ่งเป็นภริยาผู้ตายเบิกความว่าในวันเกิดเหตุตอนเช้า พยานทราบจากผู้ตายว่านายคำปั้นจะมาซื้อวัว 2 ตัว ในราคา 9,000 บาทโดยวางมัดจำไว้แล้ว 100 บาท ขณะที่พยานปลูกฝ้ายอยู่ที่ไร่ก็เห็นนายคำปั้นจูงวัว 2 ตัว ของพยานไป พยานเข้าใจว่าผู้ตายขายวัวให้นายคำปั้นเรียบร้อยแล้วเมื่อมีผู้ไปแจ้งเหตุให้ทราบพยานจึงกลับมาบ้านตรวจค้นดูศพผู้ตายไม่พบเงินจำนวนดังกล่าว จึงเข้าใจว่าคนร้ายคงมาลอบยิงผู้ตายเพื่อขโมยเอาเงินจำนวนนี้ไป เห็นว่าโจทก์มิได้นำนายคำปั้นมาเบิกความยืนยันว่าได้มอยเงินจำนวน 9,000 บาท ให้ผู้ตายในวันเกิดเหตุเป็นค่าซื้อวัว ทั้งคำเบิกความของผู้เสียหายก็เป็นเพียงการคาดคะเนเหตุการณ์เอาเองตามความเข้าใจของพยาน จึงไม่มีน้ำหนักให้รับผังได้ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทกื ก็เป็นการรับสารภาพในคดีส่วนอาญาเท่านั้น หาใช่มีผลเป็นการยอมรับว่าจำเลยได้เอาเงินจำนวน 9,100 บาท ของผู้ตายไปอันเป็นข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งด้วยไม่ ทั้งนี้เพราะคดีส่วนแพ่งในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 บัญญัติว่า “คำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิดหรือไม่” และวรรคสองบัญญัติว่า “ราคาทรัพย์สินที่สั่งให้จำเลยใช้แก่ผู้เสียหาย ให้ศาลกำหนดตามราคาอันทแ้จริง” ซึ่งหมายความว่า จำเลยจะต้องรับผิดในคดีส่วนแพ่งมากน้อยเพียงใดนั้นก็ต้องพิจารณาตามกฎหมายในทางแพ่งและตามความเสียหายที่จำเลยเป็นผู้ก่อขึ้นจริง เมื่อปรากฏตามบันทึกคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.4 และบันทึกการชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.5 ได้ความว่า จำเลยกับพวกค้นเอาเงินจำนวน 200 บาทของผู้ตายจากกระจาดเก็บเงินไปเช่นนี้ จำเลยจึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษานั้นชอบแล้วฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาข้อต่อมาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกกระทงละ 6 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกกระทงละ 3 เือน เป็นการผิดพลาดนั้นเห็นว่าโทษจำคุก 6 เดือน เมื่อลดโทษหนึ่งในสามแล้ว คงเหลือโทษจำคุก 4 เดือนมิใช่ 3 เดือน ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามา ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคสอง และวรรคสาม เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 72 วรรคสาม อันเป็นบทหนักนั้น เห็นว่ามาตรา 72 วรรคสอง มีโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือว่าเป็นบทที่มีโทษหนักกว่ามาตรา 72 วรรคสาม ที่มีโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีและปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาโดยปรับวรรคที่มีโทษเบากว่าลงโทษจำเลยมานั้นเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องเสียด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสอง และวรรคสาม,72 ทวิ วรรคสอง ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักตามมาตรา 72 วรรคสอง ลงโทษฐานมีเครื่องกระสุนปืนและฐานพกอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกกระทงละ 6 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุกกระทงละ 4 เดือน รวมจำคุก 8 เดือน เมื่อรวมโทษตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แล้วคงให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2.