คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2155/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่จำเลยฎีกาว่า คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นนั้น เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้มิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ก็ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคสอง แม้ปรากฏจากคำฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสามมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่นอกเขตอำนาจศาลชั้นต้นคือศาลแพ่งกรุงเทพใต้ก็ตาม แต่ตามฟ้องของโจทก์ระบุว่าโจทก์มีภูมิลำเนาในเขตศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ความด้วยว่าจำเลยทั้งสามโอนเงินมัดจำและชำระค่าซื้อสินค้าบางส่วนให้โจทก์ โดยผ่านบัญชีของกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ดังนี้ ต้องถือว่ามูลคดีคือเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้มีอำนาจฟ้องเกิดขึ้นในเขตศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2(2)(1) โจทก์จึงมีอำนาจเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เอกสารที่ทำขึ้นเป็นภาษาต่างประเทศ คู่ความส่งต่อศาลได้โดยไม่จำต้องทำคำแปลเป็นภาษาไทยยื่นต่อศาลเสมอไป นอกจากศาลสั่งให้ทำคำแปลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 46 วรรคสามเมื่อศาลไม่ได้สั่งให้โจทก์ทั้งสองทำคำแปลศาลก็รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองได้ แม้ตามบัญชีระบุพยานของโจทก์มีชื่อโจทก์ที่ 1 ในบัญชีระบุพยาน โดยไม่มีชื่อโจทก์ที่ 2 ในบัญชีระบุพยานด้วยก็ตาม แต่เมื่อบัญชีระบุพยานของโจทก์ได้ระบุชื่อโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ระบุพยานและมีเครื่องหมายไปยาลน้อยซึ่งเป็นเครื่องหมายละคำที่เป็นที่รู้กันและทนายโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลคนเดียวกันลงชื่อเป็นผู้ระบุพยานดังนี้ โจทก์ทั้งสองได้ระบุพยานโดยชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน1,974,469 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือนและเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 0.25 ต่อเดือน ของต้นเงิน 1,554,700 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 เมษายน 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองคำขออื่นให้ยก ส่วนจำเลยที่ 2และที่ 3 ให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้น (ศาลแพ่งกรุงเทพใต้) นั้นเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้มิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ก็ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง และเห็นว่าคดีนี้แม้ปรากฏจากคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยทั้งสามมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่นอกเขตอำนาจของศาลชั้นต้น(ศาลแพ่งกรุงเทพใต้) แต่ตามฟ้องของโจทก์ทั้งสองระบุว่าโจทก์ทั้งสองมีภูมิลำเนาในเขตศาลชั้นต้น (ศาลแพ่งกรุงเทพใต้) จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันว่าจ้างและสั่งซื้อสินค้าไปจากโจทก์ทั้งสอง และตามพยานหลักฐานที่โจทก์ทั้งสองนำสืบได้ความด้วยว่า จำเลยทั้งสามโอนเงินมัดจำและชำระค่าซื้อสินค้าบางส่วนจำนวน 1,800,000 บาทให้โจทก์ทั้งสอง โดยผ่านบัญชีของกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ทั้งสอง เมื่อข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าวจึงต้องถือว่ามูลคดีคือเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้มีอำนาจฟ้องเกิดขึ้นในเขตของศาลชั้นต้น (ศาลแพ่งกรุงเทพใต้) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2(2), มาตรา 4(1)โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้น(ศาลแพ่งกรุงเทพใต้)
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เอกสารทั้งหมดที่โจทก์ทั้งสองส่งต่อศาลเป็นภาษาต่างประเทศ แต่โจทก์ทั้งสองมิได้ทำคำแปลเป็นภาษาไทยจึงไม่อาจจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้นั้น เห็นว่า มีเอกสารบางฉบับและบางส่วนของเอกสารบางฉบับเท่านั้นที่โจทก์ทั้งสองส่งต่อศาลเป็นภาษาต่างประเทศโดยมิได้มีคำแปลเป็นภาษาไทยซึ่งเอกสารที่ทำขึ้นเป็นภาษาต่างประเทศนั้นคู่ความส่งต่อศาลได้โดยไม่จำต้องทำคำแปลเป็นภาษาไทยยื่นต่อศาลเสมอไป นอกจากศาลสั่งให้ทำคำแปลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 46 วรรคสาม เมื่อศาลไม่ได้สั่งให้โจทก์ทั้งสองทำคำแปลศาลก็รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองได้
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ตามบัญชีระบุพยานของโจทก์คงมีชื่อโจทก์ที่ 1 ในบัญชีระบุพยาน ไม่มีชื่อโจทก์ที่ 2 ในบัญชีระบุพยานด้วย แม้ทนายโจทก์ทั้งสองเป็นคนเดียวกันก็ถือว่าโจทก์ที่ 2 ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน ไม่มีสิทธิสืบพยานศาลจะต้องยกฟ้องโจทก์ที่ 2 นั้น เห็นว่า ตามบัญชีระบุพยานของโจทก์ลงวันที่5 สิงหาคม 2536 ระบุชื่อโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ระบุพยานและมีเครื่องหมายไปยาลน้อยซึ่งเป็นเครื่องหมายละคำที่เป็นที่รู้กัน และทนายโจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นคนเดียวกันลงชื่อเป็นผู้ระบุพยาน โจทก์ทั้งสองจึงได้ระบุพยานโดยชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share