คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 215/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์จำเลยทำสัญญากันไว้ เมื่อมีข้อโต้เถียงกันเรื่องที่นาที่บ้านว่าให้ที่ดังกล่าวเป็นของลูกจำเลยซึ่งเกิดด้วยนางเอิบบุตรีโจทก์ เป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลย เป็นสัญญาประนีประนอมที่ใช้ได้ตามกฎหมาย มีผลผูกพันคู่สัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจมาฟ้องเรียกทรัพย์พิพาทจากจำเลย เว้นแต่จะฟ้องตามสัญญาประนีประนอมนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่บ้าน ๑ แปลง ที่สวน ๑ แปลง ที่นา ๑ แปลง มีเขตติดต่อกับตำบลละมอ อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง เมื่อ ๑๘ ปี จำเลยสมรสกับนางเอิบบุตรโจทก์ แล้วอยู่ร่วมเรือนเดียวกับโจทก์ แล้วอาศัยที่ ๓ แปลงดังกล่าวทำกินตลอดมา นางเอิบตายมา ๑๑ ปีโดยมีบุตรด้วยกัน ๒ คน เมื่อ ๓ ปีจำเลยได้นางยกเป็นภรรยา เมื่อเดือน ๗ พ.ศ.๒๔๙๘ โจทก์ออกประกาศจะแบ่งที่ดังกล่าวให้แก่ญาติจำเลยไปคัดค้าน แล้วเข้าเก็บประโยชน์แต่ผู้เดียว โจทก์เสียหายจึงมาฟ้อง
จำเลยต่อสู้ว่า เรือนเป็นของพันคงบิดาจำเลยซึ่งเป็นสามีของโจทก์ด้วย ขณะนี้เรือนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสิทธิ์และ ด.ช.หวน ที่สวนยางเป็นของจำเลยโก่นสร้างมา ๑๘ ปี เมื่อพฤษภาคม ๒๔๙๗ จำเลยโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมให้ที่บ้านที่นาตกเป็นของนายสิทธิ์และ ด.ช,หวนบุตรนางเอิบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฯลฯ จึงขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วให้โจทก์แพ้คดี
โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังได้ โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมไว้จริงเพื่อระงับข้อพิพาทในเรื่องโจทก์จำเลยเถียงสิทธิกันในทรัพย์พิพาท จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๘๕๐ โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องจำเลย เว้นแต่จะฟ้องตามสัญญาประนีประนอมในเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมนั้น จึงพิพากษาให้แก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บทบังคับคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share