คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2149/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255 วรรคแรกเป็นบทบัญญัติบังคับไว้ว่า ศาลจะสั่งอนุญาตตามคำร้องขอโดยไม่ไต่สวนฟังข้อเท็จจริงให้ได้ความตามอนุมาตรา (1) (2)ของมาตรา 255 เสียก่อนไม่ได้ ส่วนในกรณีที่ศาลพิเคราะห์คำร้องแล้วเห็นว่า ไม่มีเหตุสมควรก็ดี ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามคำขอมาใช้ก็ดี ศาลย่อมมีอำนาจสั่งยกคำร้องเสียได้โดยหาจำต้องไต่สวนฟังพยานผู้ร้องขอเสียก่อนไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินพิพาทห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าเป็นที่ของจำเลย ขอให้ห้ามโจทก์เกี่ยวข้อง เป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการครอบครองที่พิพาทคู่ความยังโต้แย้งฟ้องและฟ้องแย้งขอบังคับมิให้อีกฝ่ายหนึ่งเกี่ยวข้อง และอยู่ระหว่างสืบพยานหลักฐานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้อยู่ จึงยังไม่มีเหตุสมควร และไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามคำขอของโจทก์ ที่ขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยและบริวารขัดขวางการครอบครองของโจทก์อ้างว่าเป็นการกระทำซ้ำในเรื่องที่ถูกฟ้องไว้ก่อนมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254 มาใช้ ศาลชอบที่จะสั่งยกคำร้องของโจทก์เสียได้โดยไม่จำต้องไต่สวนพยานของโจทก์ก่อน

ย่อยาว

มูลคดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินที่ตำบลสูงเนินฯ เนื้อที่ประมาณ ๒๒ ไร่ โจทก์ร้องขอผ่อนผันการแจ้งการครอบครอง จำเลยคัดค้าน ขอให้พิพากษาว่าที่ดินเป็นสิทธิของโจทก์ให้จำเลยถอนคำคัดค้านและห้ามเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าเป็นที่ของจำเลย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินเป็นของจำเลย ให้ส่งเจ้าพนักงานออกหนังสือสำคัญให้จำเลยและห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา เมื่อฟ้องคดีนี้แล้วจำเลยและบริวารขัดขวางทำลายพืชไร่ในที่พิพาท และแจ้งจับโจทก์ในข้อหาบุกรุกทำให้เสียทรัพย์ และต่อมายังแจ้งจับโจทก์และบริวารอีก พนักงานสอบสวนจับคนขับและเจ้าของรถไถที่โจทก์จ้างไถที่พิพาท เป็นการกระทำซ้ำในเรื่องที่ถูกฟ้อง คดีอยู่ระหว่างสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน หากจะรอจนศาลมีคำพิพากษาจะเป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบ เสียหาย ขาดประโยชน์ที่ควรได้ จึงขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยและบริวารขัดขวางการครอบครองของโจทก์ไว้ก่อนมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๕๔
จำเลยแถลงว่า ที่พิพาทจำเลยครอบครองอยู่ตามคำให้การขอคัดค้านคำร้อง ส่วนโจทก์แถลงขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่ง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดียังโต้เถียงข้อเท็จจริงกันเป็นประเด็นในคดีว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท และอยู่ระหว่างพิจารณาสืบพยานในข้อนี้ คำฟ้องที่ผู้ขอยื่นและในโอกาสที่ยื่นคำขอไม่มีเหตุสมควร ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามคำขอมาใช้ได้ มีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์โดยมิได้ทำการไต่สวน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ปัญหาตามคำร้องของโจทก์เป็นเรื่องข้อเท็จจริงซึ่งศาลชั้นต้นควรจะได้ทำการไต่สวนก่อนว่าความจริงเป็นอย่างไร มิฉะนั้นก็มิอาจทราบได้ว่าคดีมีเหตุสมควรและมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามที่ขอมาใช้ได้หรือไม่ พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนพยานโจทก์ตามคำร้อง แล้วมีคำสั่งใหม่
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปัญหาว่า ก่อนศาลจะมีคำสั่งคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๕๔ จำเป็นจะต้องทำการไต่สวนฟังพยานหลักฐานของผู้ร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๕๕ เสียก่อนทุกกรณีหรือไม่ ตามมาตรา ๒๕๕ วรรคแรกเห็นได้ว่าเป็นบทบัญญัติบังคับไว้ว่า ศาลจะสั่งอนุญาตตามคำร้องขอโดยไม่ไต่สวนฟังข้อเท็จจริงให้ได้ความตามอนุมาตรา (๑)(๒) ของมาตรา ๒๕๕เสียก่อนนั้นไม่ได้ ส่วนในกรณีที่ศาลพิเคราะห์คำร้องแล้วเห็นว่า ไม่มีเหตุสมควรก็ดี ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามคำขอมาใช้ก็ดี ศาลย่อมมีอำนาจสั่งยกคำร้องเสียได้โดยหาจำต้องไต่สวนฟังพยานผู้ร้องขอเสียก่อนไม่ กรณีตามคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลชั้นต้นที่ว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการครอบครองที่พิพาท คู่ความยังโต้แย้งฟ้องและฟ้องแย้งขอบังคับมิให้อีกฝ่ายหนึ่งเกี่ยวข้องและอยู่ระหว่างสืบพยานหลักฐานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้อยู่ จึงยังไม่มีเหตุสมควรและไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามคำขอของโจทก์มาใช้
พิพากษากลับ เป็นให้ยกคำร้องของโจทก์

Share