คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2148/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องมีใจความสำคัญว่า จำเลยบังอาจแผ้วถางป่าและเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของรัฐในป่าห้วยอีเลิง ตำบลกุสุมาลย์อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร มีจำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ฯลฯ นั้น เป็นการบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจได้ดีแล้วว่าเป็นที่ดินของรัฐในป่าห้วยอีเลิงจำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ หาจำเป็นที่จะต้องระบุความกว้างยาวและทิศไหนจดอะไรไม่ เพราะได้ระบุจำนวนเนื้อที่ที่จำเลยทำการแผ้วถางยึดถือครอบครองแล้วฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15 เมษายน 2512 ตลอดมาจนถึงวันที่ 13 สิงหาคม 2512 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน จำเลยได้บังอาจทำการแผ้วถางป่าซึ่งเป็นที่ดินของรัฐ โดยจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองตามกฎหมาย และจำเลยได้บังอาจเข้ายึดถือครอบครองก่นสร้าง ทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน และทำอันตรายแก่ทรัพยากรในที่ดินในป่าห้วยอีเลิง ตำบลกุสุมาลย์ อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร มีจำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ ทั้งนี้ โดยจำเลยมิได้กระทำภายในเขตที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ทำการแผ้วถางได้ เหตุเกิดที่ตำบลกุสุมาลย์ อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนครขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54, 72 ตรี (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 11, 16 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 และขอให้สั่งจำเลยออกจากป่าดังกล่าวแล้วด้วย

จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องให้ปรับ 200 บาท ลดรับสารภาพกึ่ง คงปรับ 100 บาท ที่ขอให้จำเลยออกจากป่าที่แผ้วถางด้วยนั้นให้ยกเสีย เพราะฟ้องโจทก์ไม่บอกอาณาเขตทิศทางสภาพไม่เปิดช่องให้บังคับคดีได้

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยออกจากป่าที่แผ้วถางด้วย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องมีความสำคัญว่าจำเลยบังอาจแผ้วถางป่าและเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของรัฐในป่าห้วยอีเลิง ตำบลกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร มีจำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ ทั้งนี้ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานฯลฯ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจได้ดีแล้วว่าเป็นที่ดินของรัฐในป่าห้วยอีเลิงจำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ หาจำเป็นที่จะต้องระบุความกว้างยาวและทิศไหนจดอะไรไม่ เพราะได้ระบุจำนวนเนื้อที่ที่จำเลยแผ้วถางยึดถือครอบครองแล้ว แม้จะระบุว่าทิศไหนจดอะไร ถ้าจำเลยไม่ได้เข้าไปทำอะไรในที่นั้น จำเลยก็ย่อมไม่เข้าใจอยู่ดีแต่กรณีนี้จำเลยเข้าใจดี จำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้จึงได้ให้การรับสารภาพโดยไม่มีข้อต่อสู้อย่างใด ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

พิเคราะห์ฎีกาข้ออื่นของจำเลยแล้ว เป็นเรื่องที่จำเลยเถียงข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา และไม่มีสาระอันควรแก่การวินิจฉัยคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share