คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2147/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผลการตรวจพิสูจน์ที่ว่าขนอวัยวะเพศซึ่งตรวจพบที่ช่องคลอดผู้เสียหายไม่ใช่ขนอวัยวะเพศของจำเลยนั้นเป็นเพียงความเห็นของผู้ทำการตรวจพิสูจน์หลักฐานเท่านั้น ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ถึงกับจะทำให้คำเบิกความพยานโจทก์รับฟังไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2528 เวลากลางวันจำเลยได้กระทำอนาจารแก่เด็กหญิงพิศมัย บัวแก้ว อายุ 8 ขวบโดยใช้กำลังประทุษร้ายจับเด็กหญิงพิศมัยให้นอนหงาย ดึงกางเกงของเด็กหญิงพิศมัยจนหลุดออกแล้วจำเลยถอดกางเกงของจำเลยออก นั่งคร่อมเด็กหญิงพิศมัย พยายามใช้อวัยวะเพศของจำเลยกระทำชำเราเด็กหญิงพิศมัย โดยเด็กหญิงพิศมัยอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 279 จำเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณา นางวิมล บัวแก้วมารดาเด็กหญิงพิศมัยผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง ให้จำคุก 3 ปี จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ความว่า ในวันเกิดเหตุผู้เสียหายไปดูโทรทัศน์ที่บ้านจำเลย ต่อมาโจทก์ร่วมซึ่งเป็นมารดาได้มาตามให้ผู้เสียหายกลับไปบ้าน คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ผู้เสียหายเบิกความว่าระหว่างดูโทรทัศน์อยู่นั้น ผู้เสียหายได้หลับไปได้สักครู่ จึงตื่นขึ้นเนื่องจากถูกจำเลยสะกิดที่เอว จำเลยถอดกางเกงที่ผู้เสียหายสวมใส่อยู่โดยเอาขาออกข้างหนึ่งแล้วจำเลยนั่งคร่อมผู้เสียหายไว้และถอดกางเกงของจำเลย ใช้มือจับอวัยวะเพศของจำเลยพยายามใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย แต่ใส่ไม่เข้านานสักครู่โจทก์ร่วมได้ตามผู้เสียหายมาที่บ้านจำเลยพบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ตะโกนร้องต่อว่าจำเลยที่ทำกับผู้เสียหาย จำเลยสวมกางเกงแล้วถอยออกไป จากนั้นโจทก์ร่วมได้พาผู้เสียหายกลับไปที่บ้าน ซึ่งนอกจากผู้เสียหายฝ่ายโจทก์มีโจทก์ร่วมเป็นพยานเบิกความสนับสนุน ผู้เสียหายเป็นเด็กหญิงมีอายุเพียง 8 ขวบ และโจทก์ร่วมเป็นมารดาผู้เสียหาย คนทั้งสองคงไม่มีความคิดที่จะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยด้วยเรื่องที่น่าอับอายเป็นที่เสียหายแก่ผู้เสียหาย เชื่อว่าได้เบิกความไปตามความจริง หลังจากเกิดเหตุแล้วในวันเดียวกัน โจทก์ร่วมก็ได้พาผู้เสียหายไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีประจันต์ ซึ่งโจทก์และโจทก์ร่วมมีพันตำรวจตรีบุญฤทธิ์ ราศรีเกรียงไกร พนักงานสอบสวนผู้รับแจ้งความเรื่องนี้ เป็นพยานเบิกความประกอบว่า โจทก์ร่วมได้พาผู้เสียหายมาแจ้งความว่า จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายพยานได้ส่งผู้เสียหายไปให้แพทย์ทำการตรวจร่างกาย ปรากฏผลการตรวจของแพทย์ว่า ที่บริเวณช่องคลอดของผู้เสียหายมีรอยช้ำแดงแสดงว่าผู้เสียหายถูกจำเลยกระทำอนาจาร คำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักและเหตุผลน่าเชื่อว่าเป็นความจริง ที่ปรากฏตามผลการตรวจพิสูจน์ว่าขนอวัยวะเพศที่ตรวจพบที่ช่องคลอดผู้เสียหายไม่ใช่ขนอวัยวะเพศของจำเลยนั้น เห็นว่า เป็นเพียงความเห็นของผู้ทำการตรวจพิสูจน์หลักฐานเท่านั้น ไม่อาจเป็นข้อพิสูจน์ถึงกับจะทำให้คำเบิกความพยานโจทก์และโจทก์ร่วมรับฟังไม่ได้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share