คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2147/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยใช้เหล็กปลายแหลมจี้ขู่บังคับให้ผู้เสียหายถอดสร้อยคอให้ ผู้เสียหายกำลังจะถอด มีผู้เข้าช่วยจำเลยจึงกระชากพระเครื่องซึ่งกลัดเข็มกลัดไว้ที่เสื้อ พระเครื่องตกลงที่พื้นรถ ยังไม่ได้เอาไป และยังมิได้เข้ายึดถือครอบครองพระเครื่องนั้นเลย ความผิดฐานชิงทรัพย์ยังไม่สำเร็จเป็นเพียงพยายามชิงทรัพย์

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสาม ประกอบกับ มาตรา 80 จำคุก 10 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยได้ร่วมกับพวกใช้เหล็กปลายแหลมเป็นอาวุธทำการชิงทรัพย์ผู้เสียหาย จนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายจริงหรือไม่ โจทก์มีนางยุรี บางนกแขวก ผู้เสียหาย นางประเทือง ศิริพันธ์ และนางประเสริฐสังฆสุวรรณ ซึ่งโดยสารรถไฟมาด้วยกันเบิกความทำนองเดียวกันว่า เมื่อรถไฟเคลื่อนออกจากสถานีดอนสงวน จำเลยถือเหล็กปลายแหลมเข้ามาจี้ผู้เสียหายที่คอขู่บังคับให้ถอดสร้อยคอทองคำ ผู้เสียหายกำลังจะถอดให้ผู้โดยสารบนรถเข้าช่วยเหลือ จำเลยจึงดึงพระเลี่ยมกะไหล่ทอง ซึ่งกลัดไว้ที่เสื้อหลุดตกลงบนพื้นที่ม้านั่ง แล้วจำเลยกระโดดหน้าต่างรถไฟหนีไปพวกของจำเลยอีก 1 คนก็กระโดดหน้าต่างรถไฟหนีไปด้วย นายเซียนโพธิเกษม พนักงานรถไฟพยานโจทก์เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุได้ยินเสียงเอะอะ เห็นจำเลยวิ่งไปทางท้ายขบวนรถ เมื่อทราบเหตุแล้วจึงดึงสายสัญญาณแจ้งเหตุ รถไฟถอยหลังไปทางคนร้ายแล้วจอด พยานกับพวกวิ่งไล่จำเลยไปกลางทุ่งนา จำเลยวิ่งหนีไปในบึงมีน้ำ จึงถูกล้อมจับไว้ได้ นายอภิรักษ์ น้ำทับทิมซึ่งรับราชการเป็นครูโรงเรียนวัดบ้านโพธิพยานโจทก์ที่ร่วมไล่จับจำเลยได้ก็เบิกความสอดคล้องตรงกันนำจับจำเลยกับพวกอีก1 คนมาให้ผู้เสียหายกับพวกดูตัว ผู้เสียหาย นางประเทือง ศิริพันธ์และนางประเสริฐ สังฆสุวรรณ ทั้งสามจำจำเลยได้ยืนยันว่าเป็นคนร้ายส่วนชายอีก 1 คนที่ถูกจับมา บุคคลทั้งสามจำไม่ได้ก็ไม่ยืนยัน จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าผู้เสียหายกับพวกต้องจำคนร้ายได้จริง จำเลยนำสืบว่าลงจากรถไฟแล้ววิ่งตามเพื่อนไปเพื่อดูคนตีกัน เป็นการนำสืบฝืนความเป็นจริงเพราะไม่มีเหตุการณ์ตีกันขึ้นในบริเวณนั้น ขณะเกิดเหตุชิงทรัพย์และลักษณะที่วิ่งลงไปในทุ่งนาทั้งที่ไม่เห็นเหตุการณ์อะไรข้างหน้า และวิ่งลงไปในบึงที่มีน้ำลึกถึงเอว เห็นได้ชัดว่าเป็นลักษณะของคนร้ายวิ่งหนีการจับกุม เป็นการนำสืบที่ไม่มีเหตุผลรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมั่นคงแน่นหนาเชื่อได้โดยไม่มีข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์สำเร็จแล้วหรืออยู่ในขั้นพยายามกระทำความผิดข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า จำเลยใช้เหล็กปลายแหลมจี้ขู่บังคับให้ผู้เสียหายถอดสร้อยคอให้ ผู้เสียหายกำลังจะถอด มีผู้เข้าช่วยผู้เสียหายจำเลยจึงใช้มือดึงกระชากพระเครื่องซึ่งกลัดเข็มกลัดไว้ที่เสื้อ แต่เอาไปไม่ได้พระเครื่องตกอยู่ที่พื้นรถตรงที่นั่ง เห็นว่าจำเลยเพียงกระชากพระเครื่องจากเสื้อตกลงที่พื้นรถยังไม่ได้เอาไป และยังมิได้เข้ายึดถือครอบครองพระเครื่องนั้นเลย ความผิดฐานชิงทรัพย์จึงยังไม่สำเร็จ เป็นเพียงพยายามกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์เท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share