แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมิได้มีเจตนาจะนำแร่มาขายให้ผู้เสียหาย ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าจะขายแร่พลวงให้ และขอรับราคาค่าแร่ทั้งหมดกับขอรับกระสอบไปใส่แร่ด้วย โดยมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกผลจากการหลอกลวงดังกล่าว ทำให้จำเลยได้รับเงินค่าแร่และกระสอบ 30 ใบ ไปจากผู้เสียหายในคราวเดียวกัน ดังนี้แม้เงินค่าแร่จะเป็นทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุประสงค์อันสำคัญที่จำเลยมุ่งหมายหลอกลวงไปจากผู้เสียหาย ส่วนกระสอบนั้นจำเลยหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งให้เพื่อให้สมกับอุบายของจำเลยที่อ้างว่ามีแร่ที่จะขายให้เท่านั้นก็ตาม แต่การที่จำเลยได้กระสอบไปด้วยนี้ ก็ได้ไปจากการหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าจะใส่แร่พลวงมาส่งให้ โดยจำเลยมิได้ตั้งใจจะนำกระสอบไปใส่แร่พลวงมาส่งให้แก่ผู้เสียหายเลย แสดงว่าจำเลยมีเจตนามาแต่แรกแล้วว่าจะหลอกลวงเอากระสอบ 30 ใบนี้จากผู้เสียหายด้วยเหมือนกัน จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงกระสอบด้วยส่วนการที่ผู้เสียหายเข้าใจว่าให้กระสอบแก่จำเลยไปในลักษณะเป็นการยืมใช้คงรูปนั้นก็เป็นความเข้าใจผิดของผู้เสียหายซึ่งถูกจำเลยหลอกลวงเพียงฝ่ายเดียวจำเลยหาได้ตั้งใจปฏิบัติตามที่ผู้เสียหายหลงเข้าใจอยู่ไม่ และการที่จำเลยได้กระสอบไปจากผู้เสียหายเช่นนี้ เป็นการครอบครองอันได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหาย จึงมิใช่การครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นอันจะเป็นความผิดฐานยักยอก (อ้างฎีกาที่ 345/2516)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกันคือ จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า จำเลยจะขายแร่พลวงให้ผู้เสียหาย ๓๐ กระสอบ เป็นเงิน ๑๘,๐๐๐ บาท และขอรับเงินไปก่อน โดยจำเลยจะนำเอกสารหลักฐานของบ้านและที่ดินมามอบให้ผู้เสียหายเพื่อประกันการชำระหนี้ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อเป็นเหตุให้จำเลยได้นำเงินไปจากผู้เสียหาย ๑๘,๐๐๐ บาท และในวันเดียวกันนั้นผู้เสียหายมอบกระสอบ ๓๐ ใบราคา ๒๔๐ บาท ให้จำเลยนำไปบรรจุแร่พลวงที่จะขายต่อมาจำเลยได้เบียดบังยักยอกกระสอบดังกล่าวเป็นของตนเองหรือผู้อื่น ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑, ๓๕๒ และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๑๘,๒๔๐ บาทแก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยไม่มีแร่มาขายให้แล้วมาหลอกลวงผู้เสียหายให้หลงเชื่อมอบเงินให้ไปก่อน ไม่พอลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกง กรณีเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง และฟังว่าจำเลยรับกระสอบไปจากผู้เสียหายแล้วไม่คืนให้ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานยักยอกให้จำคุกจำเลย ๑ เดือน ปรากฏว่ากระสอบราคาใบละ๗ บาท จึงให้จำเลยคืนหรือใช้ราคากระสอบ ๒๑๐ บาทแก่ผู้เสียหายขอหานอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงด้วย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยมิได้มีเจตนาจะนำแร่มาขายและนำหลักฐานที่ดินบ้านเรือนมาเป็นประกันให้กับผู้เสียหายตามที่ตกลงไว้เลยฉะนั้นจำเลยจะมีแร่ มีที่ดินหรือไม่ จึงไม่ใช่ข้อสำคัญเพราะจำเลยมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกแล้ว การตกลงระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยไม่เป็นการตกลงกันในทางแพ่ง แต่เป็นการฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ส่วนการที่ผู้เสียหายมอบกระสอบ ๓๐ ใบให้แก่จำเลยไปนั้น เป็นผลมาจากการหลอกลวงของจำเลย ทำให้จำเลยได้ทั้งเงินและกระสอบในคราวเดียวกันจึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอกอีกกรรมหนึ่งดังฟ้อง พิพากษากลับ(ควรจะเป็นพิพากษาแก้) คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ ให้จำคุกจำเลย ๖ เดือนให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๑๘,๐๐๐ บาทแก่ผู้เสียหาย ให้ยกข้อหาฐานยักยอก
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอก และคืนหรือใช้ราคากระสอบ ๒๔๐ บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะนำแร่มาขายให้ผู้เสียหายได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าจะขายแร่พลวงให้ และขอรับราคาค่าแร่ทั้งหมดกับขอรับกระสอบไปใส่แร่ด้วย โดยมีเจตนาทุจริตมาแต่แรก ผลจากการหลอกลวงดังกล่าว ทำให้จำเลยได้รับเงินค่าแร่และกระสอบ ๓๐ ใบไปจากผู้เสียหายในคราวเดียวกัน ดังนี้จะเห็นได้ว่าแม้เงิน ๑๘,๐๐๐ บาท จะเป็นทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุประสงค์อันสำคัญที่จำเลยมุ่งหมายหลอกลวงไปจากผู้เสียหายส่วนกระสอบนั้นจำเลยหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งให้เพื่อสมกับอุบายของจำเลยที่อ้างว่ามีแร่ที่จะขายให้เท่านั้นก็ตาม แต่การที่จำเลยได้กระสอบไปด้วยนี้ก็ได้ไปจากการหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าจะใส่แร่พลวงมาส่งให้ ซึ่งตามพฤติการณ์แห่งคดี แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าจำเลยมิได้ตั้งใจจะนำกระสอบไปใส่แร่พลวงมาส่งให้แก่ผู้เสียหายเลยแปลว่าจำเลยมีเจตนามาแต่แรกแล้วว่าจะหลอกลวงเอากระสอบ ๓๐ ใบนี้ไปจากผู้เสียหาย โดยทุจริตเหมือนกัน จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงด้วยข้อที่โจทก์ฎีกาโต้เถียงว่า การที่จำเลยได้กระสอบไปจากผู้เสียหายเป็นการยืมใช้คงรูปนั้น เป็นความเข้าใจผิดของผู้เสียหายซึ่งถูกจำเลยหลอกลวงเพียงฝ่ายเดียวจำเลยหาได้ตั้งใจจะปฏิบัติตามที่ผู้เสียหายหลงเข้าใจอยู่ไม่ยิ่งกว่านั้น การครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่นอันจะเป็นความผิดฐานยักยอกนั้น จะต้องไม่ใช่การครอบครองอันได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหายดังข้อเท็จจริงที่ได้ความในคดีนี้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๔๕/๒๕๑๖ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์มิได้สั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคากระสอบด้วยนั้น ยังคลาดเคลื่อนอยู่
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคากระสอบ ๒๑๐ บาทแก่ผู้เสียหายด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์