คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีได้ ข้อตกลงใด ๆ นอกศาลระหว่างโจทก์จำเลยหากจะพึงมี ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะไปว่ากล่าวถึงกับโจทก์อีกส่วนหนึ่ง หาเป็นเหตุที่ยกขึ้นอ้างเพื่องดการบังคับคดีได้ไม่(อ้างฎีกาที่ 293/2513)

ย่อยาว

กรณีเรื่องนี้ เนื่องมาจากโจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำร้องว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๑ได้ตกลงกันโดยโจทก์ยอมถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ที่ได้ยึดไว้ในครั้งก่อน ภายใต้เงื่อนไขว่าจำเลยที่ ๑ ต้องผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เดือนละ ๑๒,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ไม่สามารถส่งมอบทรัพย์ที่โจทก์ถอนการยึดนั้นให้จำเลยที่ ๑ ได้ เพราะจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้รักษาทรัพย์ไม่ยอมคืน ซึ่งถือได้ว่าเป็นความผิดของโจทก์ ขอให้ศาลสั่งไต่สวนและงดการขายทอดตลาด
โจทก์แถลงในวันนัดพร้อมว่า การที่จำเลยที่ ๒ ไม่ส่งมอบทรัพย์ที่ยึดไว้ครั้งแรกให้จำเลยที่ ๑ นั้น ไม่ใช่ความผิดของโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์ชอบที่จะยึดทรัพย์ใหม่อีกได้
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาได้ เมื่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยเฉพาะคดีนี้จำเลยที่ ๑ ก็รับอยู่แล้วว่าไม่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ ข้อตกลงใด ๆ นอกศาลหากจะพึงมีก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ จะต้องไปว่ากล่าวกับโจทก์อีกส่วนหนึ่ง หาเป็นเหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่องดการบังคับได้ไม่ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๙๓/๒๕๑๓
พิพากษายืน
(ถนอม ครูไพศาล เดช วุฒิสิงห์ชัย แถม ดุลยสุข)

Share