คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2143/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยโดยเห็นว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจงใจ และให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไปเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี และไม่เข้ากรณีที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 และ 228 เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ของ จำเลย จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) จำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคแรกต่อมาหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ไปแล้ว 2 ปาก ยังไม่เสร็จการสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานจำเลย อ้างว่าทนายจำเลยถึงแก่กรรมโดยจำเลยขออ้างตนเองเป็นพยานบุคคลอันดับ 1 และพยานบุคคลอื่นอันดับ 2และ 3 กับพยานเอกสารอันดับ 4 และ 5 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเฉพาะอันดับ 1,4 และ 5 อันเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นเห็นว่ามีเหตุสมควรรับบัญชีระบุพยานจำเลยเฉพาะเพียงบางอันดับเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมซึ่งมีอำนาจทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าขายอาคารพร้อมที่ดินของจำเลยในราคาคูหาละ 950,000 บาท โดยตกลงว่าถ้าขายได้ 1 คูหา จะให้ค่าตอบแทน 30,000 บาท และถ้าขายได้ 3 คูหาจะให้ค่าตอบแทน 100,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้แนะนำผู้ซื้อมาซื้ออาคารพร้อมที่ดินของจำเลยได้รวม 5 คูหา โจทก์มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนนายหน้าตามสัญญาเป็นเงิน 160,000 บาท ซึ่งจำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ภายในเดือนมกราคม 2531 แต่จำเลยไม่ชำระ ขอให้จำเลยชำระค่านายหน้าพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ติดต่อผู้ซื้อให้มาซื้ออาคารพร้อมที่ดินจากจำเลยได้เพียง 1 คูหา โจทก์จึงมีสิทธิได้ค่านายหน้าจากจำเลยเพียง 30,000 บาท เท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานวันที่ 9 มิถุนายน 2531 ซึ่งโจทก์เป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อน ฝ่ายโจทก์มาศาล ส่วนจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล แต่นางประภา คณานุเคราะห์ ภริยาจำเลยยื่นคำร้องว่าทนายจำเลยถึงแก่กรรมเมื่อปลายเดือนที่แล้ว จำเลยยังไม่ได้แต่งตั้งทนายความใหม่ และวันนี้จำเลยไปงานศพของทนายจำเลยยังไม่กลับขอเลื่อนคดีไปก่อน ทนายโจทก์คัดค้านว่านางประภาเป็นคนนอกคดีไม่ควรรับคำร้องไว้พิจารณาและจำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามกฎหมาย ศาลชั้นต้นยกคำร้องของนางประภา และมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา แล้วสืบพยานโจทก์ไปได้ 2 ปาก จึงให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือ
ต่อมาวันที่ 14 มิถุนายน 2531 จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา ขอให้ศาลมีคำสั่งพิจารณาคดีนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรคสอง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจงใจ ให้ยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลย และให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไป จำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ไว้
วันที่ 15 กันยายน 2531 จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานจำเลยอ้างว่า การที่จำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันตามกฎหมาย เป็นเพราะเหตุสุดวิสัยเนื่องจากทนายจำเลยถึงแก่กรรม โดยจำเลยขออ้างตนเองเป็นพยานบุคคลอันดับ 1 และพยานบุคคลอื่นอันดับ 2 และ 3 กับพยานเอกสารอันดับ 4และ 5 โจทก์คัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งบัญชีพยานของจำเลยว่ารับเฉพาะอันดับ 1, 4 และ 5 เท่านั้น จำเลยได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับพยานบุคคลอันดับ 2 และ 3 ของจำเลยไว้ เมื่อโจทก์นำพยานเข้าสืบต่อเสร็จแล้วจำเลยได้เบิกความเป็นพยานตนเองประกอบเอกสารที่อ้างจนเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา แต่เป็นเพราะเหตุสุดวิสัยนั้น เห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลย โดยเห็นว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจงใจ และให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไปนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี และไม่เข้ากรณีที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 และ 228 เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) ศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยเป็นการชอบแล้ว จำเลยยกขึ้นฎีกาต่อไปไม่ได้
ที่จำเลยฎีกาขอให้รับบัญชีระบุพยานของจำเลยทุกอันดับนั้นเห็นว่า คดีนี้จำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา88 วรรคแรก ต่อมาหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ไปแล้ว 2 ปาก ยังไม่เสร็จการสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานจำเลย อ้างว่าทนายจำเลยถึงแก่กรรมโดยจำเลยขออ้างตนเองเป็นพยานบุคคลอันดับ 1 และพยานบุคคลอื่นอันดับ 2 และ 3 กับพยานเอกสารอันดับ 4 และ 5 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งบัญชีพยานของจำเลยว่า รับเฉพาะอันดับ 1, 4 และ 5 เท่านั้นกรณีเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นเห็นว่ามีเหตุสมควรรับบัญชีระบุพยานจำเลยเฉพาะเพียงบางอันดับเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาด ข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม คำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องนี้จึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share