คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2142/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเช่านาโจทก์ทำมาตั้งแต่ พ.ศ.2510 เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วจำเลยไม่ได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ ครั้นพ.ศ. 2517 จำเลยให้บุตรของจำเลยสองคนเช่าทำนาดังกล่าวกับโจทก์ ดังนี้ เป็นการเปลี่ยนตัวผู้เช่าจากจำเลยมาเป็นบุตรของจำเลยเป็นผู้เช่าโดยตรงกับโจทก์ ฉะนั้นสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยจึงระงับสิ้นไปแล้วตั้งแต่พ.ศ.2517 จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2510 จำเลยได้ทำสัญญาเช่านาของโจทก์บางส่วนในโฉนดเลขที่ 1422 อำเภอมีนบุรี กรุงเทพมหานคร สัญญาสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2514 แต่จำเลยไม่ยอมออกไปจากที่นาที่เช่า จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ และให้รื้อบ้านซึ่งจำเลยปลูกไว้ออกไปจากที่ดินของโจทก์ด้วย

จำเลยให้การว่าได้เช่านาพิพาทจากโจทก์ตลอดมา ปี 2517 จำเลยได้ให้บุตรเป็นผู้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ และจำเลยก็ได้เข้าทำนา จำเลยย่อมมีสิทธิเข้าทำนาในที่ดินของโจทก์ต่อไปอีกมีกำหนด 6 ปี ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 บ้านที่จำเลยปลูกอยู่ในที่ดินสาธารณะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยได้เช่าที่ดินของโจทก์ทำนาจนถึงปีที่โจทก์ฟ้องได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่านา พ.ศ. 2517 พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อสิ้นสัญญาเช่า จ.3 แล้ว จำเลยไม่ได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์อีก แต่ให้นายเรือง นายสุข บุตรของจำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์เป็นการเปลี่ยนตัวผู้เช่าจากจำเลยเป็นบุตรจำเลย จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 และเชื่อว่าที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านเป็นที่ดินของโจทก์ พิพากษาขับไล่จำเลยตามขอ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อแรกที่ว่า จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 หรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.3 แล้ว จำเลยไม่ได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์เพราะจำเลยหยุดทำนาที่เช่าจากโจทก์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2517แล้ว แต่ให้นายเรือง นายสุข บุตรจำเลยแยกทำสัญญาเช่ากับโจทก์ต่างหากโดยนายเรืองเช่า 35 ไร่ นายสุขเช่า 18 ไร่ ไม่ได้เช่าแทนจำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวมาเป็นการแสดงว่าเปลี่ยนตัวผู้เช่าจากจำเลยมาเป็นบุตรจำเลยเป็นผู้เช่าโดยตรงจากโจทก์ ดังนั้น สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงระงับไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 ส่วนประเด็นที่ว่าที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านเป็นที่สาธารณะประโยชน์หรือไม่นั้น พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านเป็นที่ดินของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีมาชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share