แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ใช้มือชกหนึ่งทีถูกที่จมูกเลือดกำเดาไหล ไม่ปรากฏว่าเลือดกำเดาออกเพราะเหตุใดและชกแรงแค่ไหน ย่อมมีผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายไม่ถึงบาดเจ็บเท่านั้น
สำนวนการสอบสวนที่ศาลเรียกมาเองนั้นศาลจะยกขึ้นให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองฝ่ายหนึ่งและนายแสวงอีกฝ่ายหนึ่งได้วิวาทกัน จำเลยได้ทำร้ายนายแสวงถึงแก่ความตายโดยเจตนา ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษ
จำเลยทั้งสองปฏิเสธข้อหาว่าจำเลยป้องกันตัว และผู้ตายมิได้ตายโดยจำเลยทำร้าย
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้ชกผู้ตาย 1 ทีถูกดั้งจมูกเลือดกำเดาไหลแล้วได้กอดปล้ำกันจนตกน้ำแล้วจำเลยที่ 1 ใช้เหล็กคันโยก สูบน้ำเรือตีผู้ตาย 1 ที ผู้ตายจมน้ำหายไป พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ผิดกฎหมายอาญา มาตรา 249 จำคุก 16 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ผิดมาตรา 254, 72 จำคุก 1 ปี 4 เดือนแล้วส่งไปกักกันอีก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะจำเลยที่ 2 ว่า ผิดกฎหมายอาญา มาตรา 338(3) จำคุก 1 เดือนปรับ 100 บาท ไม่กักกันนอกนั้นพิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาคงฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้ฆ่านายแสวงตายโดยเจตนา แต่สำหรับจำเลยที่ 2 นั้นเห็นว่าจำเลยใช้มือชกไปเพียง 1 ที เลือดกำเดาไหล เลือดกำเดานี้อาจไหลได้เองเพราะร้อนหรือถูกกระทบกระเทือนไม่จำเป็นว่าต้องมีบาดแผลจึงยังไม่พอชี้ขาดว่าถึงบาดเจ็บ การที่ศาลอุทธรณ์เรียกสำนวนการสอบสวนและรายงานการชันสูตรบาดแผลไปดูเองโดยโจทก์มิได้อ้างเป็นพยานมานั้น โจทก์จะขอให้ศาลยกขึ้นมาเพื่อเป็นผลร้ายแก่จำเลยไม่ได้ ศาลฎีกาพิพากษายืน