คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1788/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บิดามารดา ซึ่งเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์ รู้เห็นยินยอมให้บุตรผู้เยาว์ขับขี่รถจักรยานยนต์และรถยนต์มาช้านาน มิได้ห้ามปรามตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล เมื่อผู้เยาว์ขับรถจักยานยนต์ชนรถผู้อื่นเสียหาย อันเป็นการละเมิดบิดามารดาต้องรับผิดร่วมด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยได้มีความประมาทเลินเล่อไม่ระวังดูแลรักษานายเผ่าสีห์ ชุมสาย ณ อยุธยา บุตรของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์และไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ขับขี่รถจักรยานยนต์เลขทะเบียน ก.ท. 0888 ไปตามถนนหลวง อันผิดกฎจราจร และด้วยความเร็วจนชนรถยนต์เฟี๊ยตตรวจการของโจทก์ เลขทะเบียน ก.ท. 11130 ซึ่งโจทก์ขับสวนมา เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2496 ที่หน้าโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังของนายเผ่าสีห์ จนโจทก์ได้รับบาดเจ็บทำงานไม่ได้ 10 วัน รถยนต์โจทก์เสียหายใช้การไม่ได้ต้องซ่อม ระหว่างนั้นโจทก์ต้องเช่ารถยนต์ผู้อื่นมาใช้ในธุรกิจการค้าตามปกติ เป็นค่าเสียหายรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 16,850 บาท ปรากฏรายละเอียดตามบัญชีท้ายคำฟ้อง โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแล้ว จำเลยบิดพริ้วไม่ใช้ให้จึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยให้การต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม มิได้กล่าวว่านายเผ่าสีห์ ทำละเมิดและผิดกฎจราจรอย่างไร รถของโจทก์ส่วนใดเสียหายบ้าง และราคาเท่าไร ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมามากเกินสมควรรถโจทก์เป็นรถเก่าชำรุดแล้วไม่มีสิทธิเรียกค่าเสื่อมราคาซ้อนค่าเสียหายได้ ทั้งโจทก์ไม่ได้รับบาดเจ็บถึงขนาดนั้น การที่โจทก์เช่ารถคนอื่นมาใช้ธุรกิจส่วนตัวก็ไกลกว่าเหตุ ความเสียหายของโจทก์จริงก็เพียงไม่เกิน 1,000 บาท ซึ่งก็เป็นความผิดของโจทก์เอง เพราะโจทก์เป็นฝ่ายประมาทมากกว่า โดยขับรถยนต์มาชนรถจักรยานยนต์ที่อยู่ชิดขอบถนนหลวงเสียหาย และชนถูกนายเผ่าสีห์กับเพื่อนบาดเจ็บและต่อสู้ว่า นายเผ่าสีห์เป็นนักเรียนเตรียมอุดมมีความรู้ในการขับขี่ และแก้ไขเครื่องยนต์อยู่บ้างจำเลยได้ระมัดระวังดูแลนายเผ่าสีห์ ตามสมควรแก่หน้าที่เป็นอย่างดีแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในการกระทำของนายเผ่าสีห์

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า นายเผ่าสีห์ ได้ขับรถจักรยานยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย และโจทก์ได้รับบาดเจ็บด้วยความประมาทเลินเล่อจริง จำเลยผู้เป็นบิดาได้ปล่อยปละละเลยมิได้ระมัดระวังนายเผ่าสีห์ ผู้เยาว์ตามสมควรแก่หน้าที่ จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายในการทำละเมิดของนายเผ่าสีห์ พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 10,000 บาท แก่โจทก์พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมค่าทนาย 300 บาท แทนโจทก์คำขอของโจทก์ที่ยิ่งกว่านี้ให้ยกเสีย

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ตอนจะเกิดเหตุ โจทก์ขับรถเฟี๊ยตเล็กชนิดตรวจการกลับจากซื้ออาหารไก่ พอมาถึงหน้าโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ก็มีรถยนต์กะบะคันหนึ่งขับสวนมา และในระยะติด ๆ กันนั้นก็มีรถเฟี๊ยตเล็กกับรถเก๋งฮิลแมนสีดำขับตามหลังรถกะบะ และแซงขึ้นหน้ารถกะบะไปทั้งสองคัน โจทก์จึงขับรถเข้าชิดขอบถนนด้านซ้ายมือ เพื่อกันเกิดชนกันขึ้น แต่ในทันใดนั้นเองรถจักรยานยนต์ ซึ่งนายเผ่าสีห์เป็นผู้ขับมีนายอดิเรกนั่งเกาะท้าย ขับเร่งมาโดยเร็วแซงขึ้นหน้ารถเก๋งฮิลแมนสีดำคันนั้นทางขวามือแต่เลี้ยววงกว้างมากไป รถจักรยานยนต์จึงตรงเข้าชนหน้าหม้อกับตัวเครื่องทางซ้ายรถยนต์โจทก์ โจทก์ได้ห้ามล้อรถหยุดส่วนรถจักรยานยนต์ล้มลงไปที่ขอบถนน นายเผ่าสีห์ และนายอดิเรกกระเด็นตกจากรถไป นายเผ่าสีห์ลุกขึ้นมาถามโจทก์ว่า รถมีประกันหรือเปล่า และว่าอย่าเอาเรื่องเลยจะทำใช้ให้ โจทก์ว่ามีคนบาดเจ็บให้จัดการเอาไปโรงพยาบาลเสียก่อน แล้วนายเผ่าสีห์และนายอดิเรกก็พากันขึ้นรถเก๋งฮิลแมนสีดำนั้นไป ส่วนโจทก์ได้รีบไปแจ้งความที่สถานีตำรวจพญาไท มีนายร้อยตำรวจตรี กฤษณ์ รองสารวัตรมาดูที่เกิดเหตุและทำแผนไว้ ครั้นต่อมาพนักงานตำรวจสถานีตำรวจพญาไทสอบสวนและปรับนายเผ่าสีห์ ฐานขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่มีใบอนุญาต เป็นเหตุให้ชนรถโจทก์โดยประมาทไปแล้ว เป็นเงิน 50 บาท ส่วนค่าเสียหายนั้นโจทก์ได้รับบาดเจ็บบ้างแต่ไปไหนมาไหนได้ แต่ในทางติดต่อธุรการงานโจทก์ต้องไปเช่ารถยนต์ขุนประกิตวิจารณ์มาใช้ ค่าเช่าวันละ 50 บาท เป็นเวลา 112 วัน เพราะโจทก์ต้องไปจ้างอู่เอารถไปซ่อมเสียค่าลาก 200 บาท ค่าซ่อมแซมต่าง ๆ 7,000 บาท จึงใช้รถได้ดังเดิมรถโจทก์ราคา 21,000 บาท ต้องเสื่อมราคาไป คิดเป็นเงิน 3,000 บาท

จำเลยนำสืบว่า วันเกิดเหตุนายเผ่าสีห์ได้เอารถจักรยานยนต์ของนายพัฒน์ น้าชายขับขี่เพื่อไปเอาหนังสือเรียนจากเพื่อนที่ถนนเศรษฐศิริขากลับมีนายเถลิงลาภ ทวีวงศ์ ขับรถเฟี๊ยตเล็กและม.ร.ว. ทรงวิทย์ ทวีวงศ์ ขับรถเก๋งฮิลแมนสีดำขับมาด้วยกัน พอถึงหน้าโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า รถเฟี๊ยตของนายเถลิงลาภก็ขับแซงขึ้นหน้ารถกะบะข้างหน้าไป แล้วรถเก๋งฮิลแมนสีดำ ของม.ร.ว. ทรงวิทย์ ก็ขับแซงขึ้นหน้าไปได้อีก ส่วนรถจักรยานยนต์ของนายเผ่าสีห์ ขับตามหลังมา พอแซงขึ้นหน้าบังเอิญเครื่องยนต์เกิดขัดข้องขึ้น จะหลบจอดทางซ้ายมือก็ไม่ได้ เพราะรถกะบะแล่นตามหลังของทางมาในระยะใกล้ นายเผ่าสีห์ จึงขับเลี้ยวเข้าไปจอดทางขวาของถนนแล้วเอาเหล็กไขควงมาเปิดดูหม้อน้ำมันขณะที่กำลังดูเครื่องอยู่ภายในเวลา 2-3 นาทีนั้นเอง รถโจทก์ก็ขับมาชนนายเผ่าสีห์ขณะกำลังแก้เครื่องอยู่ล้มสิ้นสติไปรู้สึกตัวที่โรงพยาบาลกลางนายอดิเรกซึ่งนั่งอยู่บนท้ายรถก็กระเด็นตกจากท้ายรถได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือรถจักรยานยนต์แฮนด์เดิ้ลและล้อหน้าพับ เครื่องบางส่วนกระเด็นออกไป สำหรับค่าเสียหายจำเลยอ้าง หลวงพิเศษโลหะศิลป์ทนายจำเลยผู้เคยมีอู่รับจ้างซ่อมรถยนต์กับนายยิ่น ช่างฟิตมาเบิกความว่า ค่าเสียหายของรถโจทก์นั้น คำนวณแล้วไม่เกิน 1,500 บาทนอกจากนั้น จำเลยนำสืบว่า นายเผ่าสีห์ และจำเลยอยู่ร่วมบ้านเดียวกันที่บ้านยาย ซอยอารีย์ ขณะเกิดเหตุ นายเผ่าสีห์ไปพักอยู่บ้านนายพัฒน์น้าชายที่ซอยกิ่งเพชรนายเผ่าสีห์มีความรู้ขับรถจักรยานยนต์มาตั้งแต่เล็ก ๆ จำเลยเคยห้ามไม่ให้นายเผ่าสีห์ขับรถจักรยานยนต์ นายเผ่าสีห์เป็นคนมีความประพฤติเรียบร้อยจำเลยได้ใช้ความระมัดระวังนายเผ่าสีห์ตามสมควรแล้ว

ได้พิเคราะห์คำพยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้ว ในปัญหาว่านายเผ่าสีห์หรือโจทก์เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถชนกันนั้นได้ความว่า ตรงสถานที่ที่รถชนกันอยู่ในเส้นทางของโจทก์ที่จำเลยนำสืบอ้างว่า รถนายเผ่าสีห์ถูกรถโจทก์ชนขณะกำลังจอดแก้เครื่องอยู่ข้างถนนนั้น มีแต่นายเผ่าสีห์และนายอดิเรกเท่านั้นมาเป็นพยานเบิกความว่า รถนายเผ่าสีห์ถูกชนขณะกำลังจอดแก้เครื่องแต่กลับปรากฏจากคำให้การ ม.ร.ว.ทรงวิทย์ และคำให้การนายเผ่าสีห์ชั้นสอบสวนว่า รถชนกันขณะนายเผ่าสีห์เลี้ยวรถจะเข้าจอดทางด้านขวาของถนนเพื่อแก้เครื่อง หาใช่ชนกันขณะรถนายเผ่าสีห์จอดอยู่ไม่และในชั้นสอบสวนนายเผ่าสีห์ก็ยอมรับว่าตนเป็นฝ่ายประมาทและยอมให้ปรับเป็นเงิน 50 บาท ส่วนนายเสนาะซึ่งเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า ได้เห็นรถโจทก์มาชนรถนายเผ่าสีห์ ซึ่งจอดอยู่ข้างถนนนั้นก็มารู้เห็นเป็นการบังเอิญและขัดกับคำให้การชั้นสอบสวนของนายเผ่าสีห์กับ ม.ร.ว.ทรงวิทย์ ฝ่ายโจทก์มีนายบุญรอด ซึ่งเป็นกรรมการทำงานอยู่ใกล้เคียงที่เกิดเหตุ เบิกความเป็นพยานประกอบคำโจทก์ว่า นายเผ่าสีห์ขับรถแซงขึ้นหน้ารถคันอื่นมาโดยเร็ว และเลี้ยววงกว้างไปจึงมาชนรถโจทก์ ซึ่งกำลังขับแอบชิดขอบถนนทางซ้ายมือ ศาลฎีกาได้พิจารณาคำพยานทั้งสองฝ่ายประกอบรูปถ่ายและเอกสารหลักฐานที่ส่งอ้างแล้ว เชื่อว่านายเผ่าสีห์ได้ขับรถจักรยานยนต์แซงจะขึ้นหน้ารถยนต์แต่เลี้ยววงกว้างไปจึงมาชนรถโจทก์ ซึ่งขับมาในเส้นทางของโจทก์นายเผ่าสีห์เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อโจทก์หาได้เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อไม่

ส่วนปัญหาว่า จำเลยผู้เป็นบิดาของนายเผ่าสีห์จะต้องรับผิดหรือไม่นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 บัญญัติให้กรณีเช่นนี้ตกเป็นหน้าที่ของจำเลย ซึ่งเป็นบิดาจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลแล้วปรากฏว่านายเผ่าสีห์อยู่ในความปกครองของจำเลยร่วมบ้านเดียวกันนายเผ่าสีห์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ แต่ก็ยังขืนเอารถจักรยานยนต์ไปขับขี่ในท้องถนนสาธารณะ ซึ่งตามคำให้การของจำเลยก็รับว่า คราวเกิดเหตุนายเผ่าสีห์เอารถจักรยานยนต์คันนั้นของน้าชายไปช่วยปะยางซ่อมแซมและลองเครื่อง เพราะเป็นผู้มีความรู้ขับขี่แก้ไขเครื่องยนต์อยู่บ้าง และนางสุทรา ภรรยาจำเลยซึ่งเป็นมารดานายเผ่าสีห์ก็ให้การในชั้นสอบสวนว่า นายเผ่าสีห์เคยขับจักรยานยนต์เป็นมา 2 ปีแล้ว เคยเอารถจักรยานยนต์ของน้าชายและเพื่อนมาขี่ ทั้งขับรถยนต์เป็นอีกด้วย โดยนางสุทราเคยใช้นายเผ่าสีห์ขับรถยนต์ให้นั่งเสมอ ทั้งนี้เห็นได้ว่า จำเลยและนางสุทรา ภรรยาจำเลย รู้เห็นยินยอมให้นายเผ่าสีห์ผู้เป็นบุตรขับขี่รถจักรยานยนต์และรถยนต์มาช้านานแล้ว หาได้ใช้ความระมัดระวังห้ามปรามนายเผ่าสีห์ในเรื่องนี้ตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลไม่ จึงถือว่าจำเลยนำสืบพิสูจน์หักล้างความรับผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ร่วมกับนายเผ่าสีห์บุตรผู้เยาว์

ส่วนปัญหาเรื่องค่าเสียหายว่า ควรชดใช้ให้โจทก์เพียงใดนั้นศาลฎีกาเห็นว่า ค่าจ้างซ่อมรถรวม 7,000 บาท ที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชดใช้ตามเอกสารหมาย จ.1, จ.2 และ จ.4 นั้น นายปราโมทย์ผู้จัดการอู่รถยนต์ถาวรวัฒนา พยานโจทก์มิได้เบิกความชี้แจงให้ชัดแจ้งว่ามีความจำเป็นจะต้องซ่อมตามรายการนั้นอย่างไร กลับปรากฏว่า นายบ๊อบช่างของอู่เป็นคนตรวจและแจ้งรายการที่ควรซ่อมนายปราโมทย์ไม่ได้ตรวจดูร่วมกับนายบ๊อบ ตามรายการการซ่อม (เอกสารหมาย จ.2) คิดค่าซ่อมรวมถึงการปรับปรุงเครื่องใหม่ และเปลี่ยนเครื่องอาหลั่ยบางส่วนด้วย ซึ่งไม่มีในรายการที่จะต้องซ่อมในใบประเมินราคาซ่อม (เอกสารหมาย จ.4) ย่อมเห็นได้ว่า ไม่เกี่ยวกับค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุที่รถชนกันครั้งนี้ การพ่นสีรถนั้นนายปราโมทย์ก็ว่า รถขนาดของโจทก์นี้ ถ้าพ่นสีโดยไม่ต้องเคาะแต่งตัวถัง ค่าพ่นสีคิดประมาณ 1,000 บาทเศษ พิจารณาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรายนี้ เพียงรถจักรยานยนต์แล่นเข้าชนรถยนต์ทางหน้ารถแล้วกระเด็นไปล้มตะแคงอยู่ ไม่น่าจะเสียหายถึงต้องพ่นสีตัวรถมากมายนัก ซึ่งตามรายการในเอกสารหมาย จ.4 อู่บริษัทถาวรวัฒนาประเมินราคาค่าซ่อมมาถึง 800 บาท มีเหตุผลน่าเชื่อดังที่จำเลยฎีกาคัดค้านมาว่า การซ่อมถือโอกาสซ่อมรถของโจทก์ในส่วนที่ไม่ได้เกิดการเสียหายในเหตุที่เกิดชนกันครั้งนี้รวมเข้าด้วย เมื่อพิเคราะห์เทียบเคียงกับราคาค่าซ่อมรถที่นายยิ่น ซึ่งเป็นช่างฟิตผู้จัดการรถยนต์บริษัทพระปฐมขนส่ง จำกัด และหลวงพิเศษโลหะศิลป์ พยานจำเลยเบิกความคิดกะประมาณมา ศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยใช้ค่าซ่อมรถแก่โจทก์เพียง 3,000 บาท ส่วนค่าเสียหายอื่น ๆนั้น โจทก์ มีพยานบุคคลและมีใบเสร็จรับเงินมาแสดงตามข้อนำสืบซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้พิจารณาลดลงจากที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชดใช้มากอยู่แล้ว ศาลฎีกายังไม่เห็นสมควรจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขเป็นอย่างอื่น

อาศัยเหตุดังกล่าวแล้วจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลล่างเป็นว่าให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 6,000 บาท แก่โจทก์ ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้แทนโจทก์เฉพาะทุนทรัพย์ 6,000 บาท นอกจากที่แก้นี้คงเป็นไปตามเดิม ค่าธรรมเนียม ค่าทนายชั้นฎีกา ให้เป็นพับไป

Share