แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมมารดาจำเลยได้ยกที่ดินมี น.ส.3 ให้โจทก์จำเลย โดยจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ต่อมาบิดาโจทก์ได้ตกลงมอบที่ดินส่วนของโจทก์ให้จำเลย ส่วนจำเลยได้ซื้อที่ดินของบุคคลอื่นมอบให้ฝ่ายโจทก์เป็นการแลกเปลี่ยนกันแล้ว แม้ขณะนั้นโจทก์อายุ 14 ปี ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ และไม่ปรากฏว่าบิดาโจทก์ได้รับอนุญาตจากศาลให้แลกเปลี่ยนที่ดินของโจทก์กับจำเลยได้อันทำให้การแลกเปลี่ยนนี้เป็นโมฆะก็ตาม ก็ถือว่าจำเลยซึ่งอยู่ในฐานะครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์แทนโจทก์มาตั้งแต่ได้รับการยกให้นั้นได้ยึดถือเพื่อตนในส่วนของโจทก์แล้ว จำเลยจึงมีสิทธิครอบครองในที่ดินทั้งหมด หาใช่ยังคงครอบครองแทนในส่วนของโจทก์ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งที่ดินมี น.ส.3 เลขที่ 156 ซึ่งโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของร่วมกัน โดยนางดีได้จดทะเบียนยกให้เป็นชื่อของโจทก์และจำเลย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกที่ดินด้านทิศเหนือเป็นของโจทก์ ด้านทิศใต้เป็นของจำเลย หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ในที่ดินส่วนของโจทก์ออกไปภายใน 7 วัน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแต่ฝ่ายเดียวโดยโจทก์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้อง ทั้งเมื่อถูกแย่งการครอบครอง โจทก์ก็มิได้โต้แย้งคัดค้าน ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ไปถอนชื่อออกจาก น.ส.3 หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เมื่อนางดีมารดาจำเลย ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์จำเลยนั้น โจทก์ยังเป็นผู้เยาว์ ต่อมาบิดาโจทก์ได้ตกลงแลกเปลี่ยนที่ดินส่วนของโจทก์ให้จำเลย โดยจำเลยซื้อที่ดินของนางตุ้ยให้โจทก์ ในที่สุดโอนที่ดินกันไม่ได้ เพราะขัดต่อกฎหมายเป็นโมฆะ จึงเลิกสัญญากันไป โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยตลอดมาจนอายุครบ 20 ปี จึงขอแบ่งแยกที่ดินจากจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจัดการแบ่งแยกที่ดินตามน.ส.3 เลขที่ 156 ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง โดยให้ด้านทิศเหนือเป็นของโจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันพิพากษา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนากับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกภายใน 7 วัน ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้องและยกฟ้องแย้ง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ในปี 2517นางดี ปวนคำตื้อ มารดาจำเลยได้ยกที่ดินพิพาทตาม น.ส.3เลขที่ 156 ให้โจทก์จำเลย คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์แทนโจทก์หรือไม่ ฯลฯ ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อตามพยานหลักฐานของจำเลยว่า บิดาโจทก์ได้ตกลงมอบที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ให้จำเลย ส่วนจำเลยได้ซื้อที่ดินของนางคำตุ้ยมอบให้ฝ่ายโจทก์เป็นการแลกเปลี่ยนกันตั้งแต่ปี 2522 แล้ว ดังนี้แม้ขณะนั้นโจทก์อายุ 14 ปี ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ และไม่ปรากฏว่าบิดาโจทก์ได้รับอนุญาตจากศาลให้แลกเปลี่ยนที่ดินของโจทก์กับจำเลยได้ อันทำให้การแลกเปลี่ยนนี้เป็นโมฆะก็ตาม ก็ถือว่าจำเลยซึ่งอยู่ในฐานะครอบครองที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์แทนโจทก์มาตั้งแต่ได้รับการยกให้นั้นได้เจตนาจะยึดถือเพื่อตนในส่วนของโจทก์แล้วจำเลยจึงมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาททั้งหมด หาใช่ยังคงครอบครองแทนในส่วนของโจทก์ไม่
พิพากษายืน