คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

(1)ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 21 นั้นมุ่งหมายให้อำนาจพนักงานสอบสวนที่จะควบคุมบุคคลอันธพาลผู้กระทำละเมิดกฎหมายได้มากขึ้นโดยให้อำนาจควบคุมครั้งแรกถึง 30 วันกล่าวคือ เป็นการขยายอำนาจการควบคุมครั้งแรกในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87 นั้นเองแต่หาได้มุ่งหมายให้อำนาจที่จะควบคุมบุคคลอันธพาลไว้เฉยๆโดยไม่มีข้อหาว่าละเมิดกฎหมายและโดยไม่มีการสอบสวนไม่ เพราะฉะนั้นเจ้าพนักงานจึงไม่อาจที่จะควบคุมผู้ใดโดยอ้างว่าเป็นบุคคลอันธพาลแต่ปราศจากข้อกล่าวหาว่าผู้นั้นได้กระทำการละเมิดต่อกฎหมาย
(2)ด้วยเหตุผลในข้อ 1 ข้างบนนี้เมื่อได้ความชัดว่าจำเลยถูกควบคุมมา 30 วันฐานเป็นบุคคลอันธพาลนั้นก็เพราะเนื่องมาจากถูกกล่าวหาว่ากระทำการละเมิดกฎหมายเช่น ลักทรัพย์หรือรับของโจรเป็นต้น ก็ชอบที่จะต้องหักวันที่ถูกควบคุมในฐานเป็นบุคคลอันธพาล 30 วันนั้นออกจากกำหนดโทษตามคำพิพากษาให้จำเลยด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2508)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องมีใจความว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรรถจิ๊ปวิลลี่ของนายสนัด โชคชัย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 357 และว่าระหว่างสอบสวนจำเลยมิได้ถูกควบคุมในคดีนี้ แต่ถูกควบคุมฐานเป็นบุคคลอันธพาลตั้งแต่วันถูกจับ (คือ 19 พฤศจิกายน 2506) และถูกควบคุมในคดีนี้ตั้งแต่ 19 ธันวาคม 2506

จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร และว่าไม่เคยกระทำผิดมาก่อน และไม่ได้เป็นบุคคลอันธพาล

ศาลอาญาพิพากษาว่า จำเลยผิดฐานรับของโจร ลดมาตราส่วนโทษและลดฐานรับสารภาพแล้ว คงจำคุกจำเลยไว้ 8 เดือน นับโทษตั้งแต่วันจำเลยถูกจับ (19 พฤศจิกายน 2506) เพราะไม่ได้ความว่า ก่อนที่จำเลยจะถูกจับในเรื่องนี้ จำเลยต้องหาว่าเป็นบุคคลอันธพาลมาก่อนแล้ว

โจทก์อุทธรณ์ขอให้นับโทษจำเลยตั้งแต่ 19 ธันวาคม 2506 โดยอ้างว่า ก่อนวันนั้นจำเลยต้องควบคุมในฐานะเป็นบุคคลอันธพาลต่างหากหาใช่ถูกควบคุมในคดีนี้ไม่ โดยอ้างฎีกาที่ 966/2504 สนับสนุนศาลอุทธรณ์เห็นว่าฎีกาที่ 966/2504 นั้น ไม่เป็นบรรทัดฐานสำหรับคดีนี้ และพิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำร้องขอขังของเจ้าพนักงานสอบสวนฉบับแรกกล่าวว่าจำเลยต้องหาว่าลักรถจิ๊บหรือรับของโจรระหว่างคืนวันที่ 19 ติดต่อกับคืนวันที่ 20 พฤศจิกายน 2506 จำเลยถูกจับและถูกควบคุมมา 30 วันตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2506 จนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2506 ซึ่งเป็นวันที่ยื่นคำร้องขอขังฉบับนี้ และในคำร้องกล่าวมาด้วยว่าได้ควบคุมจำเลยเป็นบุคคลอันธพาลตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา 30 วัน

ต่อมาจำเลยถูกฟ้องฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร โดยถูกควบคุมและคุมขังติดต่อกันตลอดมา แล้วศาลพิพากษาให้จำคุกจำเลย 8 เดือนฐานรับของโจร

มีข้อที่จะต้องวินิจฉัยว่า การนับโทษให้จำเลยนั้นจะต้องหักวันที่จำเลยถูกคุมขังในฐานเป็นบุคคลอันธพาล 30 วัน ให้จำเลยด้วยหรือไม่

ได้ปรึกษาโดยที่ประชุมใหญ่แล้ว เห็นว่าการที่จะควบคุมบุคคลอันธพาลไว้ทำการสอบสวนไม่เกิน 30 วันได้นั้น ก็โดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 21 ข้อ 1 เมื่อข้อความในประกาศชัดแจ้งอยู่แล้วว่า บุคคลอันธพาลต้องกระทำการละเมิดต่อกฎหมายด้วย และมีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมในการสอบสวนด้วย จึงจะจับตัวผู้นั้นมาควบคุมไว้ทำการสอบสวนได้ไม่เกิน 30 วัน เช่นนี้ เจ้าพนักงานจึงหาอาจที่จะควบคุมตัวผู้ใดด้วยการอ้างว่าผู้นั้นเป็นบุคคลอันธพาล แต่ปราศจากข้อกล่าวหาว่าได้กระทำการละเมิดต่อกฎหมายนั้นได้ไม่

ศาลฎีกาเห็นว่า ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 21 นี้ มุ่งหมายที่จะให้อำนาจพนักงานสอบสวนที่จะควบคุมบุคคลอันธพาลผู้กระทำเมิดกฎหมายให้มากขึ้น โดยให้อำนาจควบคุมครั้งแรกได้ถึง 30 วัน กล่าวคือเป็นการขยายอำนาจการควบคุมในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 นั่นเอง แต่คำสั่งฉบับนี้มิได้มุ่งหมายให้อำนาจควบคุมบุคคลอันธพาลไว้เฉย ๆ โดยไม่มีข้อหาว่าละเมิดกฎหมายและโดยไม่มีการสอบสวนการควบคุมตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 21 นี้ มีลักษณะแตกต่างกับการควบคุมตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 43 ที่ว่า เมื่อทำการสอบสวนแล้วไม่ได้หลักฐานที่จะฟ้องร้องแล้วให้อำนาจสั่งให้ส่งตัวไปยังสถานอบรมและฝึกอาชีพแล้ว คณะกรรมการก็จะพิจารณาและมีคำสั่งทุก ๆ 3 เดือน ว่าควรจะควบคุมตัวไว้หรือปล่อยตัวไป

กล่าวโดยสรุป ตามคำร้องขอขังดังกล่าวข้างต้น เห็นได้ชัดว่าการที่จำเลยถูกควบคุมมา 30 วัน ในฐานะเป็นบุคคลอันธพาลนั้น ก็เนื่องจากมีข้อหาว่ากระทำการละเมิดต่อกฎหมายหรือทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรนั่นเอง พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจควบคุมเพื่อทำการสอบสวนเป็นครั้งแรกได้ 30 วัน

ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ถูกควบคุมและถูกจำขังตลอดมาให้ด้วย โดยหักวันที่ต้องถูกควบคุมในฐานะเป็นบุคคลอันธพาล 30 วันนั้นออกจากกำหนดโทษจำคุกตามคำพิพากษาให้จำเลยด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 นั้นชอบแล้ว พิพากษายืน

Share