คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ. 2475 มาตรา 31 นั้น ไม่ได้หมายความว่าศาลมีอำนาจเพียงชี้ว่าการประเมินนั้นได้กระทำถูกหรือไม่ถูกเท่านั้น แต่ศาลย่อมมีอำนาจชี้ขาดจำนวนเงินที่ประเมิน+ได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงิน2005 บาท 42 สตางค์ แต่ศาลให้คืนเงิน1305 บาท 42 สตางค์นั้นไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยเรียกเก็บภาษีโรงร้านจากจำเลยปีละ ๑๐๐ บาท ในปี ๒๔๘๗ จำเลยเรียกให้ชำระ ๒๑๐๕ บาท ๔๒ สตางค์ เป็นการเกินความจริง และคลาดเคลื่อนจากหลักเกณฑ์ จึงขอให้ศาลบังคับให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินที่เกิน ๒๐๐๕ บาท ๔๒ สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้ว่า เก็บภาษี ๒๑๐๕ บา ๔๒ สตางค์ ไม่เกินความจริงและไม่คลาดเคลื่อนต่อหลักเกณฑ์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่ดินและโรงเรือนทำเลที่ตั้งของโรงงาน ค่าของส่วนควบ เห็นควรให้เช่าเดือนละ ๑๖๐๐บาท ปีหนึ่ง ๑๔๒๐๐บาท ซึ่งเมื่อคำนวนแล้วควรเป็นค่าภาษี ๘๐๐ บาท จึงให้จำเลยคืนเงิน ๑๒๐๕ บาท ๔๒ สตางค์แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห้นว่า ตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓๑ นั้น ไม่ได้หมายความว่าศาลมีอำนาจเพียงชี้ขาดว่าการประเมินนั้นได้ กระทำถูกหรือไม่ถูกเท่านั้น แต่ศาลย่อมมีอำนาจชี้ขาดจำนวนเงินที่ประเมินด้วยได้ และเห็นว่าศาลชั้นต้นประเมินสถานที่และคำนวนว่าควรเสียภาษีปีละ ๘๐๐ บาทนั้น ไม่มีเหตุจะแก้ไข
ส่วนโจทก์ขอเงินคืน ๒๐๐๕ บาท ๔๒ สตางค์แต่ศาลคืน ๑๓๐๕ บาท ๔๒ สตางค์นั้น ไม่เป็นการตัดสินเกินคำขอ พิพาษายืน

Share