คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2526

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยร่วมได้รับสำเนาอุทธรณ์แล้ว หรือได้มีการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยร่วมโดยการปิดประกาศไว้หน้าศาลแทนการส่งหมายแต่อย่างใด การพิจารณาของศาลอุทธรณ์จึงเป็นการพิจารณาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยเท่านั้น โดยไม่มีจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นอุทธรณ์ด้วย ทั้ง ๆ ที่จำเลยร่วมยังเป็นคู่ความอยู่ และมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยร่วมตามอุทธรณ์ของจำเลยอยู่ด้วยทั้งศาลชั้นต้นมิได้แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่จำเลยร่วมทราบแต่อย่างใด จึงเป็นอันว่าจำเลยร่วมพ้นจากคดีไปลอย ๆ เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา ศาลฎีกาต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2), 247

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 85,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีนี้ โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกให้จำเลยรับผิดฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่เรือขุดของจำเลยได้ทำการขุดลอกคลองดำเนินสะดวกด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังนำเอาโคลนดินและน้ำขึ้นทิ้งไว้บนที่ดินของโจทก์ทั้งสองมีปริมาณและน้ำหนักมากเกินกำลังเขื่อนคอนกรีตของโจทก์ทั้งสองจะรับไว้ได้ เป็นเหตุให้เขื่อนคอนกรีตของโจทก์ทั้งสองเสียหาย ขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน จำเลยให้การปฏิเสธว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยมิได้ขุดลอกคลองด้วยความประมาท เขื่อนของโจทก์พังอยู่ก่อนมีการขุดลอกคลองแล้ว โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย เพราะโจทก์สละสิทธิไม่เรียกร้องค่าเสียหายเนื่องจากการทิ้งดินของเรือขุดแล้ว ก่อนสืบพยาน จำเลยขอให้เรียกนายเรวัต ศรีภัทรานุสรณ์เข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยอ้างว่านายเรวัตแสดงตนเป็นเจ้าของที่ดินและอนุญาตให้จำเลยทิ้งดินในที่พิพาทได้ ซึ่งจำเลยมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากนายเรวัตได้ อันเป็นการร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)ศาลชั้นต้นอนุญาตให้หมายเรียกเข้ามาแล้ว นายเรวัตจำเลยร่วมขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา เมื่อเสร็จการพิจารณาแล้ว ศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาให้จำเลยร่วมทราบ โดยการปิดประกาศไว้หน้าศาลศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เขื่อนคอนกรีตของโจทก์ทั้งสองพัง จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายส่วนจำเลยร่วมไม่มีส่วนรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแทนจำเลย เพราะคำรับรองตามบันทึกคำยินยอมอนุญาตให้ทิ้งดินในบริเวณที่พิพาทที่รับรองว่าจะไม่ดำเนินคดีกับจำเลยถ้ามีสิ่งของหรือทรัพย์สินใด ๆ ในเขตที่ดินเสียหายเนื่องจากการทิ้งดินนั้น หมายความถึงความเสียหายตามปกติ ไม่ใช่คำรับรองให้จำเลยกระทำละเมิดโดยประมาทเลินเล่อจนเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงได้ จึงพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายใช้โจทก์ทั้งสองและยกฟ้องสำหรับจำเลยร่วม แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ คงอุทธรณ์ต่อมาเฉพาะจำเลยฝ่ายเดียวโดยจำเลยอุทธรณ์ตามประเด็นข้อพิพาททุกข้อและยังอุทธรณ์ด้วยว่าจำเลยร่วมมิใช่เจ้าของที่ดินที่แท้จริง แต่ได้ตกลงยินยอมให้ทิ้งดินในเขตที่ดินของโจทก์ได้จำเลยร่วมจึงต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแทนจำเลย ขอให้ยกฟ้องหรือถ้าเห็นว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ก็ขอให้พิพากษาให้จำเลยร่วมเป็นผู้ชดใช้แก่โจทก์แทนจำเลยทั้งสิ้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยและให้ส่งสำเนาให้โจทก์แก้ โดยมิได้ส่งสำเนาให้จำเลยร่วมแก้แต่อย่างใดในชั้นที่จำเลยยื่นอุทธรณ์นั้นเอง จำเลยยื่นคำแถลงขอให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยร่วมโดยปิดประกาศหน้าศาลแทน การส่งหมายด้วย ปรากฏว่ามีสำเนาหมายนัดให้จำเลยร่วมแก้อุทธรณ์ภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันได้รับหมายรวมอยู่ในสำนวน แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยร่วมได้รับสำเนาอุทธรณ์แล้ว หรือได้มีการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยร่วมโดยการปิดประกาศไว้หน้าศาลแทนการส่งหมายแต่อย่างใด เป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 235 การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการพิจารณาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยเท่านั้น โดยไม่มีนายเรวัต ศรีภัทรานุสรณ์จำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นอุทธรณ์ด้วย ทั้ง ๆ ที่นายเรวัต ศรีภัทรานุสรณ์จำเลยร่วมยังเป็นคู่ความอยู่ และมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยร่วมตามอุทธรณ์ของจำเลยอยู่ด้วย นอกจากนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ส่งคำพิพากษา ไปถึงศาลชั้นต้นแล้ว ปรากฏรายงานเจ้าหน้าที่ว่าทนายโจทก์และทนายจำเลยมาขอฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นก็อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์และจำเลยฟัง โดยมิได้แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่จำเลยร่วมทราบก่อนแต่อย่างใด จึงเป็นอันว่านายเรวัต ศรีภัทรานุสรณ์ จำเลยร่วมพ้นจากคดีไปลอย ๆ เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา เมื่อคดีปรากฏเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาดังกล่าว ศาลฎีกาต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(2) ประกอบด้วยมาตรา 247

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้นายเรวัต ศรีภัทรานุสรณ์ จำเลยร่วม แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้รวมสั่งเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่”

Share