แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ถูก กล่าวหาเป็นผู้ประกันตัวจำเลยในระหว่างอุทธรณ์ ในระหว่าง การพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกัน และรับหลักประกันคืนโดยอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 1ปี โทษจำรอในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันนั้นผู้ถูกกล่าวหามิได้นำตัวจำเลยส่งมอบต่อศาลและศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลย อันจะทำให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นความรับผิดตามสัญญาประกัน ฉะนั้นการที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันคืน โดยอ้างเหตุขอคืนอันเป็นเท็จ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาทราบความจริงอยู่แล้วหาใช่ผู้ถูกกล่าวหาเขียนคำร้องในส่วนที่เกี่ยวกับข้ออ้างขอถอนหลักประกันผิดพลาดไปแต่อย่างใดไม่ พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล และไม่มีเหตุสมควรที่จะลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษ.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 2 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุก 1 เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน 1 เดือน จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้ถูกกล่าวหาทำสัญญาประกันตัวจำเลยไปในระหว่างอุทธรณ์ มีโฉนดที่ดินเป็นหลักประกันต่อศาล ในระหว่างคดีอยู่ในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 26 เมษายน 2532 ขอถอนหลักประกัน และรับหลักประกันคืน โดยอ้างว่า ศาลพิพากษา จำคุก 1 ปี โทษจำรอผู้ถูกกล่าวหาจึงหมดข้อผูกพันตามสัญญาประกัน ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและส่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่านให้จำเลยฟัง ศาลชั้นต้นนัดให้ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นผู้ประกันส่งตัวจำเลยมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 28 มิถุนายน 2532ในวันนั้นศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องขอถอนหลักประกันของผู้ถูกกล่าวหาฉบับลงวันที่ 26 เมษายน 2532 เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องเท็จต่อศาลเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นการละเมิดอำนาจศาล ลงโทษจำคุก 1 เดือน
ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1)ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 พิพากษายืน
ผู้ถูกกล่าวหาฎีกา
ศาลฎีกวินิจฉัยว่า “เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ประกันตัวจำเลยในระหว่างอุทธรณ์ และเป็นผู้ขอคัดคำให้การจำเลย บันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจา และหมายกักขังจำเลยระหว่างอุทธรณ์ฎีกาตามคำร้องฉบับลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2531 ผู้ถูกกล่าวหาย่อมทราบดีว่าศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในสถานใด และในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันนั้น ผู้ถูกกล่าวหาก็มิได้นำตัวจำเลยส่งมอบต่อศาลและศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลย อันจะทำให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นความรับผิดตามสัญญาประกัน ฉะนั้นการที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอถอนหลักประกันคืน โดยอ้างเหตุขอคืนอันเป็นเท็จ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาทราบความจริงอยู่แล้ว หาใช่ผู้ถูกกล่าวหาเขียนคำร้องในส่วนที่เกี่ยวกับข้ออ้างขอถอนหลักประกันผิดพลาดไปแต่อย่างใดไม่ พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาส่อแสดงเจตนาไม่สุจริต การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลและไม่มีเหตุสมควรที่จะลงโทษในสถานเบาหรือรอการลงโทษได้ ฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาฟังไม่ขึ้น แต่ศาลอุทธรณ์มิได้อ้างบทกฎหมายทที่เป็นบทลงโทษผู้ถูกกล่าวหา ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ผู้ถูกกล่าวหามีความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1), 33 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.