แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้สัญญากู้เงินจะระบุไว้ว่า ผู้กู้ได้รับเงินกู้จากผู้ให้กู้ถูกต้องครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญาก็ตาม แต่ก็เป็นสิทธิของผู้กู้ที่จะไม่รับเงินไปทั้งหมดในวันนั้นก็ได้ สัญญากู้เงินดังกล่าวก็ยังคงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน โจทก์นำสืบถึงจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระต่อโจทก์จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 5 ในฐานผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ก็มิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าหนี้ตามฟ้องของโจทก์ไม่ถูกต้องอย่างไรและจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้แก่โจทก์ไปแล้วเพียงใด และในชั้นพิจารณาคงมีแต่จำเลยที่ 2 เบิกความลอย ๆ ว่าไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์เท่าใด และไม่ทราบว่านางสาวพรรณีพยานโจทก์นำเงินที่เบิกตามเอกสารหมาย ป.ล.2 และ ป.ล.3 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์หรือยังโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ถามค้านนางสาวพรรณีพยานโจทก์ไว้แต่อย่างใดจึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้แก่โจทก์อันเป็นเหตุให้ยอดหนี้ลดลงไปหรือไม่จำนวนใด ต้องรับฟังตามข้อนำสืบของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์จำนวน 3,000,000 บาทโดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกัน กำหนดชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งห้าชำระเงินต้นและดอกเบี้ย แต่จำเลยทั้งห้าไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าชำระเงินต้นและดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1กู้ยืมเงินโจทก์ 2,000,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ลงชื่อในสัญญาค้ำประกันโดยยังมิได้กรอกข้อความ ต่อมาโจทก์กรอกข้อความในสัญญาค้ำประกันดังกล่าวว่าเป็นการค้าประกันหนี้เงินกู้จำนวน3,000,000 บาท สัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม จำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า สัญญาค้ำประกันทุกฉบับมิใช่เอกสารปลอม และวินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยฎีกาว่าสัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ.13 เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินตามฟ้องหรือไม่เพราะสัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ.13 ระบุว่าจำเลยที่ 1 รับเงินกู้ไปจากโจทก์ 3,000,000 บาท ในวันทำสัญญา แต่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1รับเงินกู้ไปจากโจทก์ในวันนี้เพียง 2,000,000 บาท และรับงวดต่อมาอีก 1,000,000 บาท ตามเอกสารการจ่ายเงินกู้ เอกสารหมาย จ.14ดังนั้นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินที่ถูกต้องแท้จริงของโจทก์คือเอกสารหมาย จ.14 มิใช่เอกสารหมาย จ.13 นั้น เห็นว่า แม้ในข้อ 1ของสัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ.13 จะระบุข้อความไว้ดังกล่าวแต่ก็เป็นสิทธิของผู้กู้ที่จะไม่รับเงินไปทั้งหมดในวันทำสัญญาก็ได้เอกสารหมาย จ.14 จึงมิใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน แต่เป็นเอกสารการจ่ายเงินกู้ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.13 โจทก์จึงอาศัยเอกสารหมาย จ.13 เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินฟ้องบังคับจำเลยได้ ส่วนปัญหาที่ว่าหนี้ที่ค้างชำระมีจำนวนเท่าใดนั้นโจทก์นำสืบได้ว่าคิดถึงวันฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 4,121,160.25บาท แม้จำเลยที่ 1 จะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา แต่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ยื่นคำให้การแต่มิได้ต่อสู้ว่าหนี้ตามฟ้องของโจทก์ไม่ถูกต้องอย่างไร และจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้แก่โจทก์ไปแล้วเพียงใดซึ่งในชั้นพิจารณาคงมีแต่จำเลยที่ 2 เบิกความลอย ๆ ไม่ทราบว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เท่าใด แต่ไม่ถึงจำนวนที่ฟ้อง ส่วนหนังสือยินยอมมอบเงินฝากเป็นประกันและใบถอนเงินบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ตามเอกสารหมาย ป.ล.2 และ ป.ล.3 ที่จำเลยที่ 2 อ้างส่งศาลและเบิกความว่าไม่ทราบว่านางสาวพรรณีนำเงินที่เบิกตามเอกสารหมาย ป.ล.2 และป.ล.3 ชำระหนี้ให้โจทก์หรือยัง โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ถามค้านนางสาวพรรณีพยานโจทก์ไว้แต่อย่างใด จึงยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้แก่โจทก์อันเป็นเหตุให้ยอดหนี้ลดลงไปหรือไม่ จำนวนเท่าใด ต้องรับฟังตามข้อนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 ยังคงค้างชำระหนี้โจทก์อยู่ตามจำนวนที่โจทก์นำสืบมา
พิพากษายืน