คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21196/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนที่จำเลยทั้งสองฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินของเจ้ามรดก มีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสองหรือไม่ การที่โจทก์อยู่ในที่ดินโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อขายที่ทำไว้กับเจ้ามรดกเป็นการอยู่โดยอาศัยสิทธิของเจ้ามรดก เมื่อจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นทายาทผู้รับโอนมรดกต่อมาไม่ประสงค์ให้โจทก์อยู่ต่อไป โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินอีก สัญญาจะซื้อขายที่ดินนั้นจึงไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะมีผลให้แพ้ชนะในคดี การที่จำเลยที่ 2 ไม่เบิกความถึงสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ
ในคดีฟ้องขับไล่ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องบอกกล่าวก่อนฟ้อง การบอกกล่าวจึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี การที่จำเลยที่ 2 เบิกความแตกต่างจากที่พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ จึงไม่เป็นความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 177, 180
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก, 180 วรรคแรก เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 177 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน สำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 2
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นพี่สาวนางสาวมานิตย์ จำเลยที่ 2 เป็นหลานนางสาวมานิตย์ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2544 นางสาวมานิตย์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินแก่โจทก์ โดยโจทก์วางมัดจำไว้เป็นเงิน 40,000 บาท และนางสาวมานิตย์ยอมให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำ ต่อมานางสาวมานิตย์ขอออกโฉนดที่ดินที่จะขายให้โจทก์เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 33741 และ 33742 ตำบลบ้านกร่าง อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 78 ตารางวา และ 1 ไร่ ตามลำดับ นางสาวมานิตย์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2546 จำเลยทั้งสองในฐานะทายาทได้รับโอนมรดกที่ดินของนางสาวมานิตย์ และวันที่ 26 ตุลาคม 2547 จำเลยทั้งสองฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 33741 และ 33742 ดังกล่าว ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1523/2547 ของศาลชั้นต้น โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 2 เบิกความในการพิจารณาคดีดังกล่าวว่า โจทก์เข้าไปปลูกสร้างบ้านและทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงโดยไม่ได้ทำสัญญาเช่า โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้เบิกความถึงสัญญาจะซื้อขายที่ดินที่นางสาวมานิตย์ทำกับโจทก์ และจำเลยที่ 2 ยังเบิกความต่อไปว่า จำเลยทั้งสองมอบหมายให้ทนายความทำหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ออกจากที่ดินและนำไปวางไว้ที่บ้านโจทก์ และแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งพนักงานสอบสวนบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่า จำเลยที่ 2 ทำหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ออกจากที่ดินไปส่งให้โจทก์ โดยมีบุตรโจทก์เป็นผู้รับหนังสือดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินทั้งสองแปลง คดีถึงที่สุดแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 กระทำผิดฐานเบิกความเท็จและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีที่จำเลยทั้งสองฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 33741 และ 33742 ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1523/2547 ของศาลชั้นต้น มีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสองหรือไม่ การที่โจทก์อยู่ในที่ดินโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อขายที่ทำกับนางสาวมานิตย์เจ้ามรดก เป็นการอยู่โดยอาศัยสิทธิของเจ้ามรดก เมื่อจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นทายาทผู้รับโอนมรดกต่อมาไม่ประสงค์ให้โจทก์อยู่ต่อไป โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินอีก สัญญาจะซื้อขายที่ดินจึงไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะมีผลให้แพ้ชนะในคดีดังกล่าว การที่จำเลยที่ 2 ไม่เบิกความถึงสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ ส่วนความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 เบิกความว่า จำเลยทั้งสองมอบหมายให้ทนายความทำหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ออกจากที่ดินและนำไปวางไว้ที่บ้านโจทก์ ขัดกับที่พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ เห็นว่า ในคดีฟ้องขับไล่ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องบอกกล่าวก่อนฟ้อง การบอกกล่าวจึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี การที่จำเลยที่ 2 เบิกความแตกต่างจากที่พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ จึงไม่เป็นความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share