คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2118/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีก่อนจำเลยได้ฟ้องโจทก์ว่า โจทก์เลิกจ้างไม่เป็นธรรมขอให้รับจำเลยกลับเข้าทำงาน หรือให้ชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและเงินอื่น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประมาทเลินเล่อทำให้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยสูญหายไป ขอให้จำเลยชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยดังนี้ เมื่อเหตุที่จำเลยอ้างในคดีก่อนว่าโจทก์เลิกจ้างไม่เป็นธรรมคือโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยจำเลยมิได้กระทำผิดซึ่งโจทก์ก็ให้การในคดีดังกล่าวว่า โจทก์มีสิทธิเลิกจ้างจำเลยเพราะจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยขาดบัญชีไป ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในคดีก่อนกับปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงเป็นปัญหาเดียวกันว่า จำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้เงินของโจทก์ในความครอบครองของจำเลยขาดบัญชีไปหรือไม่ จำเลยจึงเถียงข้อเท็จจริงให้ผิดแผกแตกต่างไปจากคดีก่อนมิได้ ต้องฟังว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้เงินของโจทก์ขาดบัญชี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงได้ทำให้เงินสดที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยสูญหายขาดบัญชีไปหลังจากนำเงินสดออกจากตู้เซฟเป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน1,750,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินจำนวน 1,000,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่าโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี จึงขาดอายุความจำเลยมิได้ประมาทเลินเล่อจึงไม่ต้องรับผิดชอบ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเพราะสิทธิเรียกดอกเบี้ยที่ค้างชำระมีกำหนด 5 ปีขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2189/2528ของศาลแรงงานกลาง ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อที่ 1 ว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมหรือไม่ซึ่งในคดีนี้ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อที่ 2 ว่า จำเลยต้องรับผิดกรณีเงินสูญหายต่อโจทก์หรือไม่ ศาลเห็นว่าคำพิพากษาในคดีก่อนผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์กับพยานจำเลยและวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยต้องรับผิดกรณีเงินสูญหายต่อโจทก์ ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่เงินสูญหายไม่เคลือบคลุม โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยค้างชำระ เริ่มนับตั้งแต่วันฟ้องคดีย้อนหลังไป 5 ปี พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องคดีเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,000,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีคำนวณตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2536 ย้อนหลังไปเป็นเวลา 5 ปี และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันที่ 27พฤษภาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 3341/2528 ของศาลฎีกาที่จำเลยได้ฟ้องโจทก์ไม่ผูกพันจำเลย ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษานอกพยานหลักฐานในสำนวนนั้นเห็นว่า แม้ในคดีดังกล่าวจำเลยได้ฟ้องโจทก์ว่าโจทก์เลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอให้รับจำเลยกลับเข้าทำงานหรือให้ชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและเงินอื่นส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประมาทเลินเล่อทำให้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยสูญหายไปจำนวน 1,000,000 บาทขอให้จำเลยชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยก็ตาม แต่เหตุที่จำเลยอ้างในคดีก่อนว่าโจทก์เลิกจ้างไม่เป็นธรรม คือโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงโดยจำเลยมิได้กระทำผิดซึ่งโจทก์ก็ให้การในคดีดังกล่าวว่า โจทก์มีสิทธิเลิกจ้างจำเลยเพราะจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยขาดบัญชีไปจำนวน 1,000,000 บาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในคดีก่อนกับปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงเป็นปัญหาเดียวกันว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้เงินของโจทก์ในความครอบครองของจำเลยขาดบัญชีไปหรือไม่ และแม้คดีก่อนจำเลยจะเป็นฝ่ายฟ้องโจทก์ ส่วนคดีนี้โจทก์เป็นฝ่ายฟ้องจำเลย แต่โจทก์จำเลยในคดีทั้งสองก็เป็นคู่ความเดียวกัน จำเลยจึงเถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ต้องฟังว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้เงินของโจทก์ในความครอบครองของจำเลยขาดบัญชีไป จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์”
พิพากษายืน

Share