แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัท บ.ตั้งอยู่ต่างประเทศ มิได้เข้ามาตั้งสถานประกอบกิจการในประเทศไทยและไม่มีลูกจ้าง ผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย การที่บริษัทดังกล่าวได้ประกอบกิจการทำสัญญายอมให้โจทก์ใช้ชื่อเครื่องหมายการค้าแอสเบสโตลักซ์เป็นชื่อผลิตภัณฑ์กระเบื้องกระดาษของโจทก์โดยมี อ.ผู้จัดการบริษัทเข้ามาเจรจาตกลงในประเทศไทยก่อนทำสัญญา ถือไม่ได้ว่าบริษัท บ.ประกอบกิจการในประเทศไทยโดยมี อ.เป็นผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อ ดังนั้นเงินค่าตอบแทนที่โจทก์ชำระเป็นค่าธรรมเนียมในการใช้เครื่องหมายการค้าแก่บริษัท บ. จำนวน 248,600 บาทจึงเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทค่าแห่งสิทธิอย่างอื่นตามมาตรา40(3) ซึ่งบริษัท บ.มีหน้าที่เสียภาษี โดยโจทก์ผู้จ่ายมีหน้าที่หักภาษีไว้ในอัตราร้อยละ 15 แล้วนำส่งอำเภอท้องที่ภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายตามมาตรา 70(2),54 กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา76 ทวิและ 71(1) อันจะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 2
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องใจความว่า โจทก์ได้รับแบบคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มจากเจ้าพนักงานประเมินฉบับที่ ต.9/1020/2/00164 ลงวันที่ 7 สิงหาคม2518 ตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมาย 2 ให้โจทก์นำเงินค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่ายไปชำระคือเงินที่โจทก์จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรให้แก่บริษัทเคป แอส เบส ต๊อส ซึ่งอยู่ในประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2511 จำนวน 248,600บาท อ้างว่าการที่โจทก์ได้ใช้ชื่อ (เทรดเนม) แอสเบสโตลักซ์เป็นชื่อผลิตภัณฑ์กระเบื้องกระดาษเข้าลักษณะเป็นค่าสิทธิตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40(3)โจทก์จะต้องรับผิดเสียภาษีตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 70(2) เป็นเงินค่าภาษี 37,290 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลที่สั่งให้ชำระค่าภาษี 37,290 บาท ซึ่งเมื่อหักเงินภาษีที่โจทก์ชำระไว้แล้ว 4,972 บาท ออกคงเป็นเงินค่าภาษี 32,318บาท กับเงินเพิ่มอีก 6,463.60 บาท รวมเป็นเงิน 38,781.60 บาท โจทก์ยื่นอุทธรณ์การประเมินเฉพาะกรณีนี้ตามเอกสารท้ายฟ้องหมาย จ.3 จำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 ในฐานะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ โจทก์ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2519 และนำเงินค่าภาษีเพิ่มไปชำระแก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2519 ครบถ้วนแล้วโจทก์เห็นว่าคำสั่งเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่ชอบด้วยกฎหมายกล่าวคือในการที่บริษัทเคปแอสเบสต๊อสยินยอมให้โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้า แอส เบส โตลักซ์นั้นบริษัทส่งนายเอ็ม. เอ. เอฟนิวตัน ผู้จัดการเข้ามาในประเทศไทยเพื่อเจรจาเงื่อนไขต่าง ๆ เมื่อเป็นที่ตกลงกันผู้จัดการจึงลงนามในข้อตกลงแทนบริษัทอันเข้าลักษณะบริษัทประกอบกิจการในประเทศไทย ขอให้พิพากษาแสดงว่าโจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ชอบแล้ว ให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีและเงินเพิ่มรวม 38,781.60 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2519 ถึงวันฟ้อง80.79 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จหากศาลเห็นว่าโจทก์จะต้องเสียภาษีตามคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ก็ขอให้สั่งงดเสียเงินเพิ่ม
จำเลยทั้งสี่ให้การและแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีว่า ในปี พ.ศ. 2511 โจทก์จ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่บริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด ในการขอใช้เครื่องหมายการค้าแอสเบสโตลักซ์ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า เพื่อใช้เป็นชื่อผลิตภัณฑ์กระเบื้องกระดาษไทยของโจทก์ เป็นเงิน248,600 บาท โจทก์เสียภาษีในอัตราร้อยละ 2ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 71(1), 76 ทวิ ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะบริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด กับบริษัทเคปบิลดิงก์โปรดักซ์ จำกัด ซึ่งอยู่ในประเทศอังกฤษ มิได้กระทำกิจการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แอสเบสโตลักซ์ในนามบริษัทในประเทศไทย บริษัททั้งสองมิได้มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อในการประกอบกิจการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในประเทศไทยตามความหมายมาตรา 66, 76 ทวิ นายเอ็ม. เอ. เอฟนิวตันบุคคลในบริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด เพียงแต่มาเยือนบริษัทโจทก์เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม2511 ชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อตกลงเรื่องค่าธรรมเนียมการขอใช้เครื่องหมายการค้าแอสเบสโตลักซ์ของโจทก์ ซึ่งต่อมาได้จัดทำข้อตกลงในประเทศอังกฤษลงนามโดยบริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด และบริษัทเคปบิลดิงก์โปรดักซ์ จำกัดแล้วส่งมาให้โจทก์ลงนามในประเทศไทยเท่านั้น เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 70(2), 54, 27 มีคำสั่งให้โจทก์นำค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่ายกับเงินเพิ่มไปชำระการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย เจ้าพนักงานประเมินเรียกเก็บเงินเพิ่มตามมาตรา 27 โจทก์มิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎกระทรวงการคลังฉบับที่ 135 พ.ศ. 2517 ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยภาษีเงินได้ไม่มีสิทธิได้รับงดหรือลดเงินเพิ่ม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คำสั่งเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ต้องเสียเงินเพิ่มพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด และบริษัทเคปบิลดิงก์โปรดักซ์ จำกัด ตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษ บริษัทเคปแอสเบสต๊อสจำกัด เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าชื่อ แอสเบสโตลักซ์ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน2511 บริษัททั้งสองทำสัญญากับโจทก์ตามเอกสาร จ.4 ให้สิทธิโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าแอสเบสโตลักซ์เป็นชื่อผลิตภัณฑ์กระเบื้องกระดาษของโจทก์มีกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2511 ในการนี้โจทก์ชำระค่าตอบแทนเป็นค่าธรรมเนียมให้แก่บริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด 248,600บาท ในการทำสัญญาบริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด ส่งนายเอ็ม เอ เอฟนิวตันผู้จัดการบริษัทมาทำความตกลงกับโจทก์ในประเทศไทย เมื่อเจรจาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายเอ็ม เอ เอฟนิวตัน กลับออกไปจากประเทศไทย หลังจากนั้นก็ส่งหนังสือสัญญาซึ่งบริษัททั้งสองลงชื่อแล้วมาให้โจทก์ลงชื่อในประเทศไทย โจทก์เห็นว่าการที่นายเอ็ม เอ เอฟนิวตันเข้ามาเจรจาทำสัญญาในประเทศไทยถือได้ว่าบริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด ประกอบกิจการในประเทศไทยแล้ว โจทก์จึงยื่นรายการเสียภาษีเงินได้แทนบริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมที่บริษัทได้รับ 248,600 บาท ในอัตราร้อยละ 2 ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 76 ทวิ,71(1) เป็นเงินค่าภาษี 4,972 บาท ต่อมาฝ่ายจำเลยตรวจสอบเห็นว่าบริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 70(2), 40(3) ตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล คืออัตราร้อยละ 15 โดยโจทก์ผู้จ่ายมีหน้าที่หักภาษีจากเงินที่จ่ายนำส่งอำเภอท้องที่วันที่ 7 สิงหาคม 2518เจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของจำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งที่ ต.9/1020/2/00164 แจ้งให้โจทก์เสียภาษีเพิ่ม ซึ่งเมื่อหักค่าภาษีที่โจทก์ชำระไว้แล้วออกคงเป็นเงินค่าภาษี 32,318 บาท กับเงินเพิ่มตามมาตรา 27อีก 6,463.60 บาท โจทก์อุทธรณ์การประเมิน จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ โจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่าบริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด และบริษัทเคปบิลดิงก์โปรดักส์ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษ มิได้เข้ามาตั้งสถานประกอบกิจการในประเทศไทย และไม่มีลูกจ้าง ผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย การที่บริษัททั้งสองประกอบกิจการทำสัญญายอมให้โจทก์ใช้ชื่อเครื่องหมายการค้าแอสเบสโตลักซ์เป็นชื่อผลิตภัณฑ์กระเบื้องกระดาษของโจทก์ โดยมีนายเอ็ม เอ เอฟนิวตัน ผู้จัดการบริษัทเคปแอสเบสต๊อสจำกัด เข้ามาเจรจาตกลงในประเทศไทยก่อนทำสัญญานั้น ถือไม่ได้ว่าบริษัททั้งสองประกอบกิจการในประเทศไทยโดยมีนายเอ็ม เอ เอฟ นิวตันเป็นผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อ เพราะการทำสัญญาเป็นเรื่องของบริษัททั้งสองซึ่งอยู่ในประเทศอังกฤษโดยตรง บริษัทเพียงส่งนายเอ็ม เอ เอฟ นิวตันมาเจรจาเพื่อบริษัททั้งสองจะได้ทำสัญญากับโจทก์เท่านั้น จะเห็นได้ว่านายเอ็ม เอ เอฟ นิวตันก็มิได้ทำหน้าที่ยื่นเสียภาษีให้แก่บริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด ผู้รับเงินได้จากโจทก์ส่วนที่โจทก์ชำระค่าภาษีเงินได้แทนบริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด ไว้ในอัตราร้อยละ 2 โดยโจทก์เห็นว่าบริษัทดังกล่าวประกอบกิจการในประเทศไทยนั้นข้อนี้เป็นความเข้าใจของโจทก์จะถือว่าจำเลยยอมรับว่าบริษัทเคปแอสเบสต๊อสจำกัด ประกอบกิจการในประเทศไทยไม่ได้ เมื่อบริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัดมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย กรณีของโจทก์จึงไม่ต้องตามประมวลรัษฎากรมาตรา 76 ทวิ, 71(1) ที่โจทก์เสียภาษีเงินได้จากค่าธรรมเนียม 248,600 บาทแทนบริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด ในอัตราร้อยละ 2 ย่อมไม่ถูกต้อง เงินค่าธรรมเนียม 248,600 บาท ถือได้ว่าเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทค่าแห่งสิทธิอย่างหนึ่งตามมาตรา 40(3) ซึ่งบริษัทเคปแอสเบสต๊อส จำกัด มีหน้าที่เสียภาษีโดยโจทก์ผู้จ่ายมีหน้าที่หักภาษีไว้ในอัตราร้อยละ 15 แล้วนำส่งอำเภอท้องที่ภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่าย ดังที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 70(2),54 เมื่อโจทก์ไม่นำส่งภายในกำหนด โจทก์ต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ตามมาตรา 27 คำสั่งเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จึงชอบด้วยกฎหมาย ที่โจทก์ฎีกาขอให้งดหรือลดเงินเพิ่มนั้น เห็นว่าโจทก์ก็มิได้นำเงินภาษีมาขอชำระตามมาตรา 27(1)(2) ทั้งมิได้ทำคำร้องเป็นหนังสือยื่นต่อเจ้าพนักงานประเมินตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2517) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยภาษีเงินได้ กรณีของโจทก์จะลดเงินเพิ่มลงไม่ได้
พิพากษายืน