คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2116/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาว่า โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณา คดีนี้ซ้ำและฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งเรื่องก่อนตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 และมาตรา 148 หรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมมีสิทธิ ที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง เดิมจำเลยทั้งสามในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้อง ส.และต.เป็นจำเลยเป็นคดีแพ่งโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของ ผู้ครอบครองที่พิพาทตาม น.ส.3 เลขที่ 15 ต่อมาส.และต. ไปขอออก น.ส.3 ก. เลขที่ 4618โดยมิชอบทับที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 15 ของจำเลยทั้งสามส.และต. ให้การว่า การขอออก น.ส.3 ก.เลขที่ 4618 ถูกต้องและได้เข้าครอบครองที่พิพาท อย่างเจ้าของ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า น.ส.3 ก. เลขที่ 4618 ออกทับที่พิพาทของจำเลยทั้งสาม อันจะต้องเพิกถอนหรือไม่ การที่โจทก์ยื่นคำร้องสอด ขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) ในคดีก่อน โจทก์จึงเป็นคู่ความในคดีก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(11) และ ต้องถูกผูกพันในกระบวนพิจารณาของศาลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 เมื่อ ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี ในคดีก่อนแล้วว่า น.ส.3 ก.เลขที่ 4618 ออกทับที่ของจำเลยทั้งสามตาม น.ส.3 เลขที่ 15 ให้เพิกถอน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้โดยอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 4618 อีก เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้ก่อนศาลได้วินิจฉัยในคดีก่อนก็ตาม แต่เมื่อ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดคดีในคดีก่อนแล้ว กรณีก็ต้อง ตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 144 เช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเป็นผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 ก. เลขที่ 4618ตำบลหนองหญ้าปล้อง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เนื้อที่ 2 ไร่เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2536 จำเลยที่ 2 และที่ 3 บุกรุกเข้าไปขุดหลุมฝังเสาซีเมนต์รอบที่ดินแปลงดังกล่าวของโจทก์ ทำให้ไม่สามารถเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินได้ คิดเป็นค่าเสียหายปีละ1,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 และที่ 3 รื้อถอนเสาปูนซีเมนต์และลวดหนามออกไปจากที่ดินของโจทก์ห้ามเกี่ยวข้อง กับให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายปีละ 1,000 บาท นับตั้งแต่ปี 2536เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินซึ่งจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของรวมตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 เลขที่ 15 รวมเนื้อที่ประมาณ 48 ไร่ 50 ตารางวา โจทก์และนางติวเอ็ง แซ่ลี้ ภริยาโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันรื้อถอนเสาปูนซีเมนต์และลวดหนาม และให้ออกไปจากที่ดินพิพาทห้ามเกี่ยวข้องอีกกับให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 100 บาท นับแต่เดือนกรกฎาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนเสาปูนซีเมนต์และลวดหนามพร้อมกับออกไปจากที่ดินพิพาท ให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาข้อแรกว่าโจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ซ้ำและฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 614/2536 หมายเลขแดงที่ 738/2537 ของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 เห็นว่าปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ปรากฏว่าข้อเท็จจริงยุติตามฎีกา คำแก้ฎีกา และท้องสำนวนว่าเดิมจำเลยทั้งสามในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้อง นายสุพรรณ วัดเวียงคำและนางติวเอ็ง แซ่ลี้ เป็นจำเลย ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 738/2537 ของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2536 โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่พิพาทตาม น.ส.3 เลขที่ 15 ต่อมานายสุพรรณและนางติวเอ็งไปขอออก น.ส.3 เลขที่ 57 ต่อมาเปลี่ยนเป็น น.ส.3 ก.เลขที่ 4618 โดยมิชอบเพราะทับที่ดินของจำเลยทั้งสามตาม น.ส.3 เลขที่ 15 ขอให้เพิกถอน น.ส.3 ก. เลขที่ 4618 นายสุพรรณและนางติวเอ็งให้การว่า การขอออก น.ส.3 เลขที่ 57 และการขอเปลี่ยนเป็น น.ส.3 ก. เลขที่ 4618 ถูกต้อง และได้เข้าครอบครองที่พิพาทอย่างเจ้าของ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า น.ส.3 ก. เลขที่ 4618 ออกทับที่พิพาทของจำเลยทั้งสาม อันจะต้องเพิกถอนหรือไม่ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2537 ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 738/2537 ของศาลชั้นต้นโจทก์ขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและพิพากษาในวันที่ 30 ธันวาคม 2537 ว่า น.ส.3 ก. เลขที่ 4618 ออกทับที่จำเลยทั้งสามให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ดังกล่าวนายสุพรรณและนางติวเอ็งอุทธรณ์ เห็นว่า การที่โจทก์ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) โจทก์จึงเป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 738/2537 ของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(11) ฉะนั้นโจทก์จึงต้องถูกผูกพันในกระบวนพิจารณาของศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 และเมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีแล้วว่า น.ส.3 ก. เลขที่ 4618 ออกทับที่ของจำเลยทั้งสามตาม น.ส.3 เลขที่ 15 ให้เพิกถอน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ โดยอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 4618 อีก เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้ก่อนศาลได้วินิจฉัยคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 738/2537 ของศาลชั้นต้นก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดคดีแล้ว กรณีก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 144 เช่นกัน
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share