คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2115/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่คู่ความตั้งแต่งทนายความให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 60 นั้น เป็นการตั้งแต่งตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะ 15 ว่าด้วยตัวแทน ฉะนั้น เมื่อโจทก์ผู้เป็นตัวการถึงแก่กรรมกรณีจึงต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828ซึ่งบัญญัติว่า เมื่อสัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปเพราะตัวการตายตัวแทนต้องจัดการอันสมควรทุกอย่าง เพื่อจะปกปักรักษาประโยชน์ อันเขาได้มอบหมายแก่ตนไปจนกว่าทายาทหรือผู้แทนของตัวการจะเข้าปกปักรักษาประโยชน์นั้นๆ ได้ ดังนี้ ทนายโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนย่อมมีหน้าที่ต้องจัดการดำเนินคดีเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของโจทก์ตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่ทนายโจทก์ฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด 1 เดือน จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายหาเป็นโมฆะไม่ แม้ตัวโจทก์จะถึงแก่ความตายไปก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้อ่านคำพิพากษา และยังไม่มีทายาทร้องขอเข้ารับมรดกความและแต่งทนายโจทก์เป็นทนายความของผู้รับมรดกความก็ตาม
จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 คันที่เกิดเหตุรถชนกันไปปฏิบัติงานในหน้าที่ของจำเลยที่ 2 มาตั้งแต่ก่อนวันเกิดเหตุโดยไม่ปรากฏว่าผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ทักท้วงหรือมีบุคคลอื่นขับขี่รถยนต์คันนั้น วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันดังกล่าวบรรทุกเครื่องสูบน้ำไปช่วยสูบน้ำให้หมู่บ้านชาวเขาอันเป็นการกระทำเกี่ยวกับหน้าที่ราชการของจำเลยที่ 2 ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1ได้ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ข้อที่จำเลยที่ 2อ้างว่าได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ทำงานในตำแหน่งผู้ชำนาญงานเกี่ยวกับเครื่องยนต์ใช้ในการก่อสร้าง ไม่มีหน้าที่ขับรถยนต์นั้นเป็นระเบียบข้อบังคับอันเป็นเรื่องภายในของจำเลยที่ 2 จะอ้างมาต่อสู้หรือใช้ยันบุคคลภายนอกไม่ได้
หลังจากเลิกงานขนน้ำเพื่อช่วยเหลือชาวเขาอันเป็นการงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 1 ยังมิได้เอารถเข้าเก็บแต่ได้ขับไปที่แห่งอื่นจนกระทั่งเกิดเหตุชนรถยนต์ของทางราชการทหารอากาศ เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย ดังนี้แม้จะเกิดเหตุหลังจากเลิกงานแล้ว ก็ถือว่ายังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 เพราะการปฏิบัติหน้าที่ยังไม่เสร็จสิ้นโดยอยู่ในระหว่างที่จำเลยที่ 1จะต้องนำรถยนต์มาเก็บที่สำนักงานของจำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ตามทางการที่จ้างและตามคำสั่งของจำเลยที่ ๒ ผู้เป็นนายจ้าง ด้วยความประมาทขาดความระมัดระวัง เป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์ของทางราชการกองทัพอากาศ ซึ่งเรืออากาศโทเคลีย บัณฑิตไทย บุตรโจทก์เป็นผู้ขับขี่สวนทางมา เรืออากาศโทเคลียถึงแก่กรรมการกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการละเมิด ซึ่งจำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดด้วย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย คือค่าปลงศพ ค่าขาดอุปการะตามกฎหมายรวมเป็นเงิน ๑๖๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ นำรถยนต์คันที่เกิดเหตุไปขับขี่โดยพลการ ไม่ใช่ในทางการที่จ้าง จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดเหตุรถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทของเรืออากาศโทเคลีย ไม่ใช่ความประมาทของจำเลยที่ ๑ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินสมควร
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายแต่เป็นการกระทำนอกเหนือหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายและมิได้กระทำในขณะปฏิบัติการงานของนายจ้าง ถือไม่ได้ว่าเป็นทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินจำนวน๕๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามฟ้อง ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๓๑,๓๖๖.๖๗ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยตามฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ข้อที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า การยื่นอุทธรณ์ของทนายโจทก์โดยที่ตัวโจทก์ได้ถึงแก่ความตายไปก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้อ่านคำพิพากษาและยังไม่มีทายาทร้องขอเข้ารับมรดกความและแต่งทนายโจทก์เป็นทนายความของผู้รับมรดกความย่อมเป็นโมฆะนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่คู่ความตั้งแต่งทนายความให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๖๐ เป็นการตั้งแต่งตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ ๑๕ ว่าด้วยตัวแทน กรณีจึงต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๘ ซึ่งบัญญัติว่า เมื่อสัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปเพราะตัวการตาย ตัวแทนต้องจัดการอันสมควรทุกอย่างเพื่อจะปกปักรักษาประโยชน์อันเขาได้มอบหมายแก่ตนไปจนกว่าทายาทหรือผู้แทนของตัวการจะเข้าปกปักรักษาประโยชน์นั้น ๆ ได้ฉะนั้น เมื่อโจทก์ผู้เป็นตัวการถึงแก่กรรม ทนายโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนย่อมมีหน้าที่ต้องจัดการดำเนินคดีเพื่อจะปกปักรักษาประโยชน์ของโจทก์ตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่ทนายโจทก์ฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด ๑ เดือน จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย หาเป็นโมฆะดังที่จำเลยฎีกาไม่
ข้อที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดนอกทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การนำเครื่องสูบน้ำและรถยนต์ไปสูบน้ำขนน้ำเพื่อช่วยเหลือหมู่บ้านชาวเขา เป็นการกระทำเกี่ยวกับหน้าที่ราชการของจำเลยที่ ๒ ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์ของจำเลยที่ ๒ แต่จำเลยที่ ๒ อ้างว่าได้จ้างจำเลยที่ ๑ ให้ทำงานในตำแหน่งผู้ชำนาญงานเกี่ยวกับเครื่องยนต์ใช้ในการก่อสร้างไม่มีหน้าที่ขับรถยนต์ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยได้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปปฏิบัติงานในหน้าที่ของจำเลยที่ ๒ มาตั้งแต่ก่อนวันเกิดเหตุโดยไม่ปรากฏว่าผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ ทักท้วง และไม่ปรากฏว่ามีบุคคลอื่นเป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันนั้น ถือได้ว่าจำเลยได้ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ระเบียบข้อบังคับที่จำเลยที่ ๒ อ้างเป็นเรื่องภายในของจำเลยที่ ๒ จะอ้างมาต่อสู้หรือใช้ยันบุคคลภายนอกหาได้ไม่ ส่วนปัญหาที่ว่า ขณะจำเลยที่ ๑ขับรถยนต์ชนรถยนต์ของราชการทหารอากาศ เป็นเหตุให้เรืออากาศโทเคลียบัณฑิตไทย ถึงแก่ความตายนั้น ยังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าหลังจากเลิกงานแล้วจำเลยยังมิได้เอารถเข้าเก็บ แต่ได้ขับไปที่แห่งอื่นจนกระทั่งเกิดเหตุ ฉะนั้น แม้จะเกิดเหตุหลังจากเลิกงานขนน้ำเพื่อช่วยเหลือชาวเขา อันเป็นงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ แล้ว ก็ถือว่ายังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒เพราะการปฏิบัติหน้าที่ยังไม่เสร็จสิ้น โดยอยู่ในระหว่างที่จำเลยที่ ๑ จะต้องนำรถยนต์มาเก็บที่สำนักทำการงานของจำเลยที่ ๒ ผู้เป็นนายจ้าง จำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ ๑ด้วย พิพากษายืน

Share