แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามมาตรา 1566 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา ในกรณีมารดาหรือบิดาตาย อำนาจปกครองจึงอยู่ กับบิดาหรือมารดา และมีสิทธิเรียกบุตรคืนจากบุคคลอื่นซึ่ง กักบุตรไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1567(4) อย่างไรก็ตาม มาตรา 1582 กำหนดไว้ว่า ถ้าผู้ใช้อำนาจปกครองใช้อำนาจปกครอง เกี่ยวแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบก็ดี ประพฤติชั่วร้ายก็ดี ศาลอาจถอน อำนาจปกครองเสียบางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้ ดังนั้น เมื่อ ส. ซึ่งเป็นบิดาของเด็กหญิง ร. ผู้เยาว์ถึงแก่ความตาย อำนาจปกครองจึงตกอยู่กับโจทก์ซึ่งเป็นมารดา เว้นแต่โจทก์ใช้อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบ หรือประพฤติชั่วร้าย และถูกศาลถอนอำนาจปกครอง การที่จำเลยซึ่งเป็นย่าของเด็กหญิง ร.ฎีกาโต้แย้งว่าโจทก์ใช้อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวเด็กหญิง ร.โดยมิชอบและประพฤติชั่วร้าย แต่ที่มิได้นำเด็กหญิง ร.มาเบิกความยืนยัน ก็เพราะเด็กหญิง ร. มีความกลัวมารดานั้น จะเห็นได้ว่า โดยปกติธรรมชาติของมารดา ย่อมมีความรักบุตรและปรารถนาดีต่อบุตร หากจำเลยประสงค์ที่จะแสดงให้ศาลเห็นว่าโจทก์เป็นมารดาที่ ประพฤติผิดธรรมชาติ ปราศจากความรักความเมตตา ต่อบุตร และประพฤติตนชั่วร้าย พยานหลักฐานของจำเลยก็ต้องมีน้ำหนักให้เชื่อได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงเมื่อจำเลยไม่มี ผู้เยาว์มาเบิกความยืนยันต่อศาลถึงสภาพจิตใจที่เป็นอยู่ จึงไม่อาจอนุมานตามที่จำเลยกล่าวอ้างว่าที่ผู้เยาว์มีอาการ ผิดปกติก็เพราะโจทก์ใช้อำนาจปกครองโดยมิชอบหรือประพฤติชั่วร้าย อันจะเป็นสาเหตุให้ศาลถอนอำนาจปกครองของโจทก์ ดังนั้น แม้จำเลยจะมีฐานะดีมีความเมตตาต่อผู้เยาว์ และสามารถเลี้ยงดู ผู้เยาว์ได้เป็นอย่างดีสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจที่จะปกครองเลี้ยงดูผู้เยาว์ได้ตราบใดที่อำนาจปกครองของโจทก์ซึ่งเป็น มารดายังมิได้ถูกเพิกถอน จำเลยจึงต้องคืนตัวเด็กหญิง ร. ให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสง่า มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือเด็กหญิงสรารัตน์ อายุ 4 ปี9 เดือน และเด็กชายจีรศักดิ์ อายุ 2 ปี 4 เดือน เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 2534 นายสง่าได้นำเด็กหญิงสรารัตน์ไปพักอาศัยอยู่กับจำเลยซึ่งเป็นย่า ต่อมานายสง่าถูกคนร้ายลอบยิงจนถึงแก่ความตาย โจทก์ไปขอรับตัวเด็กหญิงสรารัตน์กลับมาเลี้ยงดู แต่จำเลยไม่ยินยอมและบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา ขอให้บังคับจำเลยคืนเด็กหญิงสรารัตน์ให้มาอยู่ในความปกครองของโจทก์ตามกฎหมาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า นายสง่าประสงค์จะหย่าร้างกับโจทก์จึงได้นำเด็กหญิงสรารัตน์บุตรสาวมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านของจำเลย โจทก์ติดตามมาเอาเด็กหญิงสรารัตน์คืน แต่นายสง่าไม่ยินยอมเพราะเห็นว่าโจทก์ไม่เหมาะสมที่จะเลี้ยงดูจนกระทั่งต่อมานายสง่าถูกคนร้ายลอบยิงจนถึงแก่ความตายโดยมีพฤติการณ์ที่ทำให้เชื่อได้ว่าโจทก์รู้เห็นกับคนร้ายด้วย โจทก์มีพฤติการณ์ทารุณโหดร้ายไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้เลี้ยงดูเด็กหญิงสรารัตน์ จำเลยจึงไม่ยินยอมคืนเด็กหญิงสรารัตน์ให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้องทั้งพฤติการณ์ของโจทก์เป็นความประพฤติที่ชั่วร้าย ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงสรารัตน์และเด็กชายจีรศักดิ์ ขอให้ถอนอำนาจปกครองของโจทก์ต่อเด็กหญิงสรารัตน์และเด็กชายจีรศักดิ์ และให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจปกครองเด็กหญิงสรารัตน์และเด็กชายจีรศักดิ์แทนโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็นในการตายของนายสง่าและโจทก์มิใช่ผู้ที่มีความประพฤติชั่วร้ายหรือทารุณโหดร้าย ข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่ว่าโจทก์เป็นผู้มีจิตใจโหดร้ายและไม่เหมาะสมที่จะให้โจทก์เป็นผู้มีอำนาจปกครองเด็กหญิงสรารัตน์และเด็กชายจีรศักดิ์ จึงไม่เป็นความจริงขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยคืนเด็กหญิงสรารัตน์ ศิริพร ให้มาอยู่ในความปกครองของโจทก์ ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้โต้เถียงกันว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสง่า ศิริพร มีบุตรด้วยกัน 2 คนคือ เด็กหญิงสรารัตน์และเด็กชายจีรศักดิ์ ต่อมานายสง่าถูกคนร้ายลอบยิงถึงแก่ความตาย ก่อนนายสง่าถึงแก่ความตายนายสง่าได้นำเด็กหญิงสรารัตน์ไปอยู่กับจำเลยและจำเลยไม่ยอมคืนเด็กหญิงสรารัตน์ให้โจทก์จนกระทั่งปัจจุบันเห็นว่าตามมาตรา 1566 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา ในกรณีมารดาหรือบิดาตาย อำนาจปกครองจึงอยู่กับบิดาหรือมารดาและมีสิทธิเรียกบุตรคืนจากบุคคลอื่นซึ่งกักบุตรไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1567(4) อย่างไรก็ตามมาตรา 1582 กำหนดไว้ว่าถ้าผู้ใช้อำนาจปกครอง ใช้อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบก็ดี ประพฤติชั่วร้ายก็ดีศาลอาจถอนอำนาจปกครองเสียบางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้ดังนั้นตามข้อเท็จจริงในเบื้องต้น เมื่อนายสง่าซึ่งเป็นบิดาของเด็กหญิงสรารัตน์ผู้เยาว์ถึงแก่ความตายอำนาจปกครองจึงตกอยู่กับโจทก์ซึ่งเป็นมารดา เว้นแต่โจทก์ใช้อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบ หรือประพฤติชั่วร้าย และถูกศาลถอนอำนาจปกครองที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าโจทก์ใช้อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวเด็กหญิงสรารัตน์โดยมิชอบและประพฤติชั่วร้ายแต่ที่มิได้นำเด็กหญิงสรารัตน์มาเบิกความยืนยัน ก็เพราะเด็กหญิงสรารัตน์มีความกลัวมารดา พยานจำเลยล้วนแต่เป็นคนกลางที่มีวิชาความรู้มีสามัญสำนึก และรู้ดีว่าจำเลยควรเลี้ยงดูผู้เยาว์แทนโจทก์ซึ่งเป็นมารดานั้น เห็นว่า โดยปกติธรรมชาติของมารดาย่อมมีความรักบุตรและปรารถนาดีต่อบุตร หากจำเลยประสงค์ที่จะแสดงให้ศาลเห็นว่าโจทก์เป็นมารดาที่ประพฤติผิดธรรมชาติ ปราศจากความรักความเมตตาต่อบุตร และประพฤติตนชั่วร้ายดังที่กล่าวอ้าง พยานหลักฐานของจำเลยก็ต้องมีน้ำหนักให้เชื่อได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง โดยเฉพาะเด็กหญิงสรารัตน์ซึ่งเป็นบุตรและเป็นคนกลางยิ่งกว่าผู้ใดทั้งสิ้นสมควรที่จำเลยจะได้นำมาเบิกความต่อศาล เพื่อยืนยันว่าโจทก์เลี้ยงดูมิชอบ กระทำทารุณต่อบุตรผู้เยาว์ เมื่อจำเลยยังมิได้นำเด็กหญิงสรารัตน์มาเบิกความต่อศาล และศาลยังมิได้ซักถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เด็กหญิงสรารัตน์อยู่กับโจทก์ จำเลยจะทราบได้อย่างไรว่า เด็กหญิงสรารัตน์ไม่อาจเบิกความได้เพราะมีความหวาดกลัว จำเลยจึงไม่นำมาเบิกความ นอกจากนี้จากพยานหลักฐานของจำเลยก็ไม่ปรากฏเลยว่าโจทก์ได้เลี้ยงดูมิชอบหรือกระทำทารุณต่อเด็กชายจีรศักดิ์ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์อีกผู้หนึ่ง ข้อนี้ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่า โจทก์สามารถเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้อย่างเป็นปกติเช่นเดียวกับมารดาที่รักบุตรทั้งหลาย ส่วนนางเพ็ญรวี ดิษฐเวชชัย นายอำพัน อยู่ยืนพยานจำเลยเบิกความว่าเด็กหญิงสรารัตน์มีอาการหวาดกลัวโจทก์ไม่ยอมเข้าไปหาโจทก์นั้น เป็นเหตุการณ์ช่วงหนึ่งที่พยานจำเลยได้พบในขณะที่โจทก์และสามีมีความขัดแย้งกันในเรื่องการแย่งชิงบุตรซึ่งมิได้เป็นข้อยืนยันว่าโจทก์เป็นมารดาที่ใช้อำนาจปกครองโดยมิชอบหรือประพฤติตนชั่วร้าย โดยเฉพาะที่จำเลยกล่าวอ้างตลอดมาว่าโจทก์มีส่วนในความตายของสามีจึงถือว่าประพฤติตนชั่วร้ายนั้นข้อนี้เห็นว่าลำพังจากคำเบิกความของพันตำรวจตรีสถาพร อมรรัตนสุชาติ พยานจำเลยที่อ้างว่าคนร้ายที่ถูกจับกุมมีนามสกุลเดียวกับนามสกุลเดิมของโจทก์และเป็นญาติโจทก์ ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่า โจทก์มีส่วนรู้เห็นในเรื่องดังกล่าวอันจะทำให้บ่งชี้ว่าโจทก์มีความประพฤติชั่วร้ายส่วนนางทัศนีย์ กิจจานนท์ พยานจำเลยที่เบิกความว่า ได้สอบถามเด็กหญิงสรารัตน์แล้ว ได้ความว่าเด็กมีปัญหาไม่อยากกลับบ้านบางครั้งแจ้งว่าถูกโจทก์ตีและขังในห้องน้ำนั้น เมื่อมิได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง ก็ทำให้ขาดน้ำหนักที่ทำให้เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่าโจทก์กระทำทารุณโหดร้ายจริง สำหรับนางรัตนา สังขทรัพย์นักสังคมสงเคราะห์ผู้ตรวจวิเคราะห์จิตใจของเด็กหญิงสรารัตน์ก็เพียงแต่พบว่าเด็กหญิงสรารัตน์มีสภาพผิดปกติทางด้านจิตใจซึ่งเป็นกรณีที่อาจเกิดขึ้นได้สำหรับผู้เยาว์ที่อยู่ในครอบครัวที่มีปัญหาและผู้เยาว์ทราบว่าตนอยู่ในระหว่างการแย่งชิงตัวของญาติฝ่ายบิดาและมารดา ผู้เยาว์ย่อมอยู่ในสภาพที่ถูกกดดันจนทำให้เกิดความสับสน และไม่แน่นอนในจิตใจ เมื่อจำเลยไม่มีผู้เยาว์มาเบิกความยืนยันต่อศาลถึงสภาพจิตใจที่เป็นอยู่ จึงไม่อาจอนุมานตามที่จำเลยกล่าวอ้างว่าที่ผู้เยาว์มีอาการผิดปกติก็เพราะโจทก์ใช้อำนาจปกครองโดยมิชอบหรือประพฤติชั่วร้าย อันจะเป็นสาเหตุให้ศาลถอนอำนาจปกครองของโจทก์ ดังนั้นแม้จำเลยจะมีฐานะดีมีความเมตตาต่อผู้เยาว์ และสามารถเลี้ยงดูผู้เยาว์ได้เป็นอย่างดีสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจที่จะปกครองเลี้ยงดูผู้เยาว์ได้ ตราบใดที่อำนาจปกครองของโจทก์ซึ่งเป็นมารดายังมิได้ถูกเพิกถอน ที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยคืนตัวเด็กหญิงสรารัตน์ให้แก่โจทก์และยกฟ้องแย้งจำเลยนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน