คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2114/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินที่ ส. เช่าและให้จำเลยที่ 2 ผู้เป็นบุตรปลูกบ้านอยู่ เป็นที่ดินซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ด้านทิศเหนือ แม้ที่ดินเฉพาะตรงที่จำเลยที่ 2 ปลูกบ้านอยู่นี้จะเป็นที่ดินนอกโฉนดของโจทก์แต่ก็เป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง และ ส.ก็ยอมรับสิทธิของ ม.ผู้ซึ่งครอบครองที่ดินแทนโจทก์โดยการทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวจาก ม.ทั้งการที่จำเลยที่ 2 ปลูกบ้านอยู่ก็โดยอาศัยสิทธิการเช่าของ ส.จึงไม่อาจอ้างสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทส่วนนี้ยันโจทก์ได้

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๙ ตำบลโพรงมะเดื่อ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม เนื้อที่ ๒๗ ไร่ ๒ งาน ๕๖ ตารางวา เมื่อประมาณ ๒๐ ปีนานี้ นายผา คิ้มแหน บิดาโจทก์ได้มอบที่ดินแปลงดังกล่าวให้มิซซังโรมันคาทอลิกกรุงเทพมหานครเป็นผู้ครอบครองจัดหาผลประโยชน์เพื่อประโยชน์ของวัดตรีเอกภาพ (หนองหิน) เมื่อที่ดินตกเป็นของโจทก์ก็ถือปฏิบัติเช่นเดียวกันจนถึงปัจจุบันนี้ ต่อมาวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๒๐ โจทก์นำช่างแผนที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม ไปทำการรังวัดสอบเขตที่ดิน จำเลยทั้งสามคัดค้านว่าโจทก์นำรังวัดเข้าไปในที่ดินของจำเลย แท้จริงจำเลยทั้งสามไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องในฐานะเป็นเจ้าของ จำเลยที่ ๒ อาศัยปลูกเรือนในที่พิพาทโดยสิทธิของมารดาที่เช่าที่ดินจากโจทก์ทำให้โจทก์ไม่สามารถสอบเขตที่ดินของโจทก์ได้ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ รื้อบ้านออกจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสามเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ต่อไปให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๑,๐๐๐ บาท และให้จำเลยที่ ๓ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๑,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินป่ารกร้างว่างเปล่าอยู่นอกโฉนดที่ดินของโจทก์ ผู้ถือกรรมสิทธิ์คนก่อนและบิดาโจทก์ไม่เคยโก่นสร้างครอบครองแต่อย่างใด จำเลยทั้งสามเข้าบุกเบิกโก่นสร้างครอบครองทำประโยชน์โดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของกว่า ๑๐ ปีแล้ว จำเลยที่ ๒ ไม่เคยเช่าหรืออาศัยสิทธิของผู้ใดทั้งสิ้น ฝ่ายโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์เลย คดีของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ รื้ออาคารบ้านเรือนของจำเลยออกไปจากที่ดินโจทก์ ห้ามจำเลยที่ ๓ และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินในโฉนดของโฉนด (น่าจะเป็นของโจทก์) รูปสามเหลี่ยม ล.ม. ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.ล.๑ และ ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน ๘๐๐ บาท
โจทก์กับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินตามโฉนดของโจทก์มีเนื้อที่ ๒๗ ไร่ ๒ งาน ๕๖ ตารางวา และมีที่ดินหัวไร่ปลายนาอยู่นอกโฉนดทางด้านทิศเหนือซึ่งไม่มีใครเข้าโก่นสร้างครอบครองมาก่อน เดิมเป็นของนายผา คิ้มแหน บิดาของโจทก์ ต่อมานายผามอบที่ดินให้มิซซังคาทอลิกกรุงเทพมหานครครอบครองหาประโยชน์ให้แก่วัดตรีเอกภาพ โดยให้ผู้อื่นเช่านางเสงี่ยม เนื้อเย็น มารดาจำเลยที่ ๒ ก็เป็นผู้เช่าด้วยผู้หนึ่งทางทิศเหนือของที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ ๗ ไร่ ๓ งาน ๑๓ ตารางวา แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ส่วนจำเลยที่ ๒ นั้นปรากฏว่านางเสงี่ยมมารดาได้เช่าที่ดินของโจทก์จากวัดมา ๒๐ ปีแล้ว ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.๑๑ ถึง จ.๑๔ เมื่อเปรียบเทียบแผนที่ที่ดินที่นางเสงี่ยมเช่ากับที่ดินของโจทก์ตามแผนที่พิพาท เห็นได้ว่าที่ดินที่นางเสงี่ยมเช่าและจำเลยที่ ๒ ปลูกบ้านอยู่เป็นที่ดินซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ด้านทิศเหนือ แต่นางเสงี่ยมก็ยอมรับสิทธิของมิซซังคาทอลิกกรุงเทพมหานคร ผู้ซึ่งครอบครองที่ดินแทนโจทก์โดยการทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวจากมิซซังคาทอลิกกรุงเทพมหานคร ทั้งการที่จำเลยที่ ๒ ปลูกบ้านอยู่ก็โดยอาศัยสิทธิการเช่าของนางเสงี่ยมมารดาจำเลยที่ ๒ นั่นเอง จึงไม่อาจอ้างสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทส่วนที่ยันโจทก์ได้
พิพากษายืน

Share