คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2105/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เหตุที่หนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารจำเลยที่ 2 หายไปจากกองการเงินของโจทก์ ปรากฏว่าโจทก์ไม่ทราบว่าหายไปเมื่อใดจึงไม่ใช่เป็นกรณีที่โจทก์ยินยอมคืนหนังสือสัญญาค้ำประกันแก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วแต่เป็นเรื่องที่ได้มีการกระทำผิดต่อกฎหมายโดยมีผู้ลักเอาหนังสือสัญญาค้ำประกันไปเมื่อเอกสารดังกล่าวหายไปจากความครอบครองของโจทก์ โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์คืนเอกสารนั้นแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้เอกสารดังกล่าวมาอย่างไร จึงมิใช่กรณีที่จำเลยที่ 1ได้เอกสารนั้นมาโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยที่ 2 จะได้เอกสารดังกล่าวไว้ในครอบครองก็หาใช่กรณีที่หนี้ของลูกหนี้ได้ระงับสิ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698 ไม่ สัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 2 ยังคงมีผลบังคับ หนี้ตามสัญญาค้ำประกันจึงยังไม่ระงับ โจทก์ชอบที่จะบังคับเอาจากจำเลยที่ 2 ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว แม้จำเลยที่ 2 จะอ้างว่ารับคืนสัญญาค้ำประกันนั้นจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต ก็หาใช่เหตุที่จะทำให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นความรับผิดไม่ ข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 327วรรคสาม มิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด หากปรากฏข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น ก็ย่อมฟังตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้นได้ เมื่อโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หนี้ตามสัญญาค้ำประกันยังไม่ระงับกรณีจึงไม่ต้องด้วยบทข้อสันนิษฐานแห่งกฎหมายมาตราดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อหัวกระเทียมแห้งจากโจทก์โดยนำหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ จำกัด จำเลยที่ 2 รวม 2 ฉบับ มามอบให้โจทก์ยึดถือไว้ เมื่อครบกำหนดชำระราคาแต่ละคราว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวด้วย โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,973,759.09 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้นำหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ 2 ไปมอบให้โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 นำหนังสือสัญญาค้ำประกันนั้นมามอบคืนให้จำเลยที่ 2 พร้อมทั้งรับหลักประกันที่ให้ไว้และเงินค่าธรรมเนียมการออกหนังสือสัญญาค้ำประกันคืนไปจากจำเลยที่ 2 แล้ว หรือหากฟังว่าจำเลยที่ 1 มอบหนังสือสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้ แต่การที่จำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือสัญญาค้ำประกันคืนมาแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 แสดงเจตนาชัดแจ้งที่จะยกเลิกหรือเพิกถอนการค้ำประกันจำเลยที่ 1 แล้ว และยังเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 327 ว่าหนี้นั้นได้ระงับแล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน1,728,585.50 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนเป็นเงิน 1,852,499.50 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าว
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าหนี้ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารจำเลยที่ 2 มีผลระงับสิ้นไปแล้วหรือไม่เห็นว่า เหตุที่หนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารจำเลยที่ 2 หายไปจากกองการเงินของโจทก์ ปรากฏว่าโจทก์ไม่ทราบว่าได้หายไปเมื่อใด จึงไม่ใช่เป็นกรณีที่โจทก์ยินยอมคืนเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 แก่จำเลยที่ 1เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ค่าซื้อกระเทียมให้โจทก์แล้วแต่เป็นเรื่องที่ได้มีการกระทำผิดต่อกฎหมายโดยมีผู้ลักเอาเอกสารหมายจ.4 และ จ.5 ไปจากกองการเงินของโจทก์ และได้ความว่าเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2527 จำเลยที่ 1 ได้นำเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5ไปคืนให้แก่จำเลยที่ 2 สาขาบุรีรัมย์ เมื่อเอกสารดังกล่าวหายไปจากความครอบครองของโจทก์ โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์คืนเอกสารนั้นแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้เอกสารดังกล่าวมาอย่างไร จึงมิใช่กรณีที่จำเลยที่ 1 ได้เอกสารดังกล่าวมาโดยชอบด้วยกฎหมายแม้จำเลยที่ 2 จะได้เอกสารนั้นไว้ในครอบครองแต่ก็หาใช่กรณีที่หนี้ของลูกหนี้ได้ระงับสิ้นไปแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 698 ไม่ สัญญาค้ำประกันของธนาคารจำเลยที่ 2 เอกสารหมาย จ.4และ จ.5 ยังคงมีผลบังคับตามเงื่อนไขบังคับแห่งสัญญาซื้อขายกระเทียมซึ่งจำเลยที่ 2 ยอมเข้าค้ำประกันผูกพันตนไว้ หนี้ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารจำเลยที่ 2 เอกสารหมาย จ.4 และ จ.5จึงยังไม่ระงับ โจทก์ชอบที่จะบังคับเอาจากจำเลยที่ 2 ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว แม้จำเลยที่ 2 จะอ้างว่ารับคืนสัญญาค้ำประกันนั้นจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตก็หาใช่เหตุที่จะทำให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นความรับผิดไม่
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า เอกสารแห่งหนี้ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ได้เวนคืนมายังจำเลยที่ 2 แล้ว จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 327 วรรคสาม จำเลยที่ 2จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ นั้น เห็นว่า ข้อสันนิษฐานตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวมิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด หากปรากฏข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น ก็ย่อมฟังตามข้อเท็จจริงปรากฏนั้นได้ เมื่อโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หนี้ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันดังกล่าวยังไม่ระงับไปดังได้วินิจฉัยมาแล้ว กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทข้อสันนิษฐานแห่งกฎหมายมาตราดังกล่าวดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาจำเลยที่ 2 จึงยังต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน

Share