คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2105/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องซื้อที่ดินซึ่งเรือนพิพาทปลูกอยู่เมื่อวันที่ 25มกราคม 2508 โดยทำนิติกรรมซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่. ในครั้งนั้นจำเลยตั้งใจจะรื้อเรือนพิพาทไปปลูกที่อื่น. จึงไม่ได้ขายเรือนพิพาทให้ผู้ร้องด้วย. ครั้นต่อมาจำเลยไม่มีเงินจะรื้อถอน. จึงได้ขายให้ผู้ร้องเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2508. ดังนี้ เรือนพิพาทตกเป็นส่วนควบของที่ดินของผู้ร้อง. และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องไปในตัวในทันทีที่ได้ทำสัญญาซื้อขายเรือนพิพาทกันหาจำต้องไปทำการโอนจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ไม่.(อ้างฎีกาที่ 561/2488,1124/2502).

ย่อยาว

โจทก์นำยึดเรือนหนึ่งหลัง ว่าเป็นของจำเลยลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่าเป็นของผู้ร้องและปลูกอยู่ในที่ดินของผู้ร้อง ผู้ร้องซื้อเรือนหลังนี้มาขอให้ปล่อยการยึด โจทก์คัดค้านว่า เรือนพิพาทเป็นของจำเลย ฯลฯ ศาลชั้นต้นให้ถอนการยึด โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเชื่อว่าผู้ร้องได้ซื้อเรือนพิพาทจากจำเลยจริง ส่วนข้อกฎหมายนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้ร้องซื้อที่ดินซึ่งเรือนพิพาทปลูกอยู่เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2508 โดยทำนิติกรรมซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในครั้งนั้นจำเลยตั้งใจจะรื้อเรือนพิพาทไปปลูกที่อื่น จึงไม่ได้ขายเรือนพิพาทให้ผู้ร้องด้วย ต่อมาจำเลยไม่มีเงินจะรื้อถอน จึงได้ขายให้ผู้ร้องเมื่อวันที่ 1 มีนาคม2508 โดยทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันเอง ศาลฎีกาเห็นว่า เรือนพิพาทตกเป็นส่วนควบของที่ดินของผู้ร้องและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องไปในตัวในทันทีที่ได้ทำสัญญาซื้อขายเรือนพิพาทกันกรณีเช่นนี้หาจำเป็นจะต้องไปทำการโอนจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ไม่ (อ้างฎีกาที่561/2488, 1124/2502) พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น.

Share