คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2103/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่แล้วในสำนวนไปได้ โดยมิจำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนั้นใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(3) (อ้างฎีกาที่ 1050/2500)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้บังอาจเข้าไปในสำนักงานหรือที่ทำการห้างหุ้นส่วนจำกัด ดี.พี.ซี. โดยไม่มีเหตุผลสมควร โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนนั้น ได้ไล่ให้จำเลยออกไปเสีย จำเลยกลับขัดขืนไม่ยอมออกและใช้กำลังกายประทุษร้ายโจทก์ ได้รับอันตรายแก่กายทำให้โจทก์ป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน ประกอบกิจตามปกติไม่ได้ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ประกอบด้วยมาตรา 364, 295, 297(8), 90, 91

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วยกฟ้องความผิดฐานบุกรุก ให้ประทับรับข้อหาฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส
โจทก์อุทธรณ์ในข้อหาฐานบุกรุก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ฎีกาว่าคดีมีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365 เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับฎีกาส่วนข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 291 ไม่รับฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงบางประการ ศาลอุทธรณ์ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัย แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยเสียเอง ขอให้ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนั้น ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่แล้วในสำนวนไปได้ โดยมิจำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนั้นใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243
พิพากษายืนยกฎีกาโจทก์

Share