คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

พฤติการณ์ที่ผู้ตายทำร้าย ส. ล้มลงแล้วจะตามไปทำร้าย ส. อีก เมื่อจำเลยเข้าห้ามปราม ผู้ตายก็ใช้มีดแทงจำเลย ถือว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ส. และจำเลยแล้ว การที่จำเลยใช้ด้ามพร้าตีผู้ตายจนล้มลงนั้น เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อผู้ตายพยายามจะลุกขึ้นอีก แต่จำเลยใช้เท้าขวาเหยียบมือผู้ตายที่กำลังถือมีดอยู่แสดงว่าภยันตรายที่เกิดจากการกระทำของผู้ตายนั้นถูกจำเลยควบคุมมิให้ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นอีกได้ ถือว่าภยันตรายที่จะเกิดแก่ ส. และจำเลยหมดไปแล้ว จำเลยไม่จำเป็นต้องทำร้ายผู้ตายอย่างใดอีก ดังนั้น การที่จำเลยใช้มือซ้ายจับคางผู้ตายใช้มือขวาซึ่งถือมีดเชือดคอผู้ตาย 1 ครั้ง และเมื่อผู้ตายยังดิ้นรนอยู่จำเลยยังเอามีดพกส่วนตัวของจำเลยอีกเล่มหนึ่งมาแทงผู้ตายถึง 2 แผลอีก นับเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุตาม ป.อ. มาตรา 69 เพราะหากจำเลยไม่เชือดคอผู้ตาย ผู้ตายก็คงไม่ถึงแก่ความตาย คดีจึงฟังไม่ได้ว่าการที่จำเลยฆ่าผู้ตายเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
การที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษให้จำคุกจำเลย 6 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับพฤติการณ์ที่จำเลยฆ่าผู้ตายโดยวิธีเชือดคอซึ่งเป็นวิธีการที่สยดสยองอย่างยิ่ง กับจำเลยยังเอามีดพกส่วนตัวของจำเลยมาแทงผู้ตายอีก 2 แผลแล้ว นับเป็นกำหนดโทษที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งการกระทำแล้ว คดีไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะกำหนดโทษให้ต่ำไปกว่านี้อีก และเมื่อจำเลยต้องโทษจำคุกเกินสามปี คดีจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ศาลจะรอการลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 56 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมยอาญา มาตรา 288, 33 และริบไม้ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 69 จำคุก 6 ปี ริบไม้ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายลาภหรือไข่ ที่มีอาการเมาสุรามากไปที่บ้านนายสมหมายและนางจันทร์ บิดามารดาของจำเลยซึ่งจำเลยพักอาศัยอยู่ด้วย เพื่อขอรับประทานต้มตะกวด เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง นายสมหมายบอกให้ขึ้นไปรับประทานบนบ้านและนายสมหมายจะตามไป ขณะนั้นนางจันทร์กับจำเลยอยู่ในครัว นางจันทร์ตักต้มตะกวดให้รับประทานโดยวางที่หน้าห้องนอนของนายสมหมาย เมื่อนายสมหมายตามขึ้นมาและบอกนายลาภว่าจะขอรับประทานด้วย นายลาภตีมือนายสมหมาย นายสมหมายก็บอกว่าไม่กินแล้ว นายลาภด่าว่านายสมหมายด้วยถ้อยคำหยาบคาย และพูดว่ากูไม่ให้มึงกิน และนายลาภถีบนายสมหมาย นายสมหมายและนางจันทร์จึงลงมาชั้นล่าง แล้วจำเลยใช้ด้ามพร้าไม่มีตัวมีด ยาวประมาณ 1 ศอก ตี และใช้มีดที่ใช้ในครัวสำหรับแทงคอสุกรมีความยาวรวมด้ามประมาณ 6 นิ้ว ใบมีดกว้าง 1 นิ้ว แทงนายลาภหลายครั้ง เป็นเหตุให้นายลาภถึงแก่ความตายขณะเกิดเหตุนายสมหมายและนางจันทร์ได้ยินเสียงโครมครามภายในบ้าน สักครู่หนึ่งจำเลยถือมีดดังกล่าวลงมาชั้นล่าง โดยมือและเสื้อของจำเลยเปื้อนเลือดและจำเลยบอกว่าตายแล้ว ต่อมานายแพทย์สำเนียง ได้ตรวจศพผู้ตายแล้วพบว่าผู้ตายมีบาดแผลบริเวณศีรษะ 3 แผล ขนาด 1.5 เซนติเมตร 4 เซนติเมตร และ 5 เซนติเมตร มีความลึกถึงกะโหลก แต่ไม่มีการแตกร้าวของกะโหลกศีรษะ ซึ่งเกิดจากของแข็งไม่มีคมกับมีบาดแผลบริเวณลำคอ ขนาด 15 เซนติเมตร น่าจะเกิดจากของมีคมแผลลึกตัดหลอดลมและหลอดอาหารถึงกระดูกต้นคอ และมีบาดแผลถูกแทงบริเวณหน้าอกขวา 1 รอย หน้าท้อง 2 รอย ขนาดกว้าง 1.5 เซนติเมตร แผลลึกถึงช่องอกและช่องท้องบาดแผลที่ลำคอเป็นสาเหตุการตายของผู้ตาย ส่วนบาดแผลที่ศีรษะไม่รุนแรงไม่น่าจะเป็นสาเหตุการตาย ร้อยตำรวจเอกวีระศักดิ์ พนักงานสอบสวนไปตรวจที่เกิดเหตุยึดมีดปลายแหลมกว้าง 1 นิ้ว ยาว 8 นิ้ว อีก 1 เล่ม จากศพผู้ตายและไม้เหมือนด้ามพร้าหัก 2 ท่อน เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 นิ้ว ยาวประมาณ 2 ฟุต วางใกล้ศพผู้ตายเป็นของกลาง ในวันรุ่งขึ้นจำเลยเข้ามอบตัวและมอบมีดซึ่งมีเลือดติดอยู่แก่ร้อยตำรวจเอกวีระศักดิ์ยึดเป็นของกลางเพิ่มเติม ชั้นมอบตัวและชั้นสอบสวนร้อยตำรวจเอกวีระศักดิ์แจ้งข้อหาจำเลยว่าฆ่าผู้อื่น จำเลยให้การรับสารภาพ
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ผู้ตายมีรูปร่างใหญ่กว่าจำเลย ขณะเกิดเหตุผู้ตายถืออาวุธมีดขนาดใหญ่อยู่ในมือ ขณะจำเลยแทงผู้ตายภยันตรายที่ผู้ตายจะกระทำต่อนายสมหมายและจำเลยยังไม่สิ้นสุด การที่จำเลยฆ่าผู้ตายจึงเป็นการป้องกันภัยอันตรายที่ยังมีอยู่ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์มีนายสมหมายกับนางจันทร์และร้อยตำรวจเอกวีระศักดิ์เป็นพยาน นายสมหมายเบิกความได้ความตรงกับคำให้การชั้นสอบสวนที่ให้ไว้ต่อร้อยตำรวจเอกวีระศักดิ์ว่า ขณะพยานบอกผู้ตายว่าไม่กินแล้ว ผู้ตายได้ถีบพยานด้านหลังจนล้มลง ผู้ตายจะเข้ามาทำร้ายพยานอีก ขณะนั้นจำเลยยืนอยู่ที่ประตูครัวจึงได้เข้าไปขวางผู้ตายแล้วพยานลงมาชั้นล่างของบ้านนางจันทร์เบิกความได้ความตรงกับคำให้การชั้นสอบสวนที่ให้ไว้ต่อร้อยตำรวจเอกวีระศักดิ์ว่า ขณะผู้ตายถีบนายสมหมายนั้น จำเลยซึ่งยืนข้างตู้เย็นทางเข้าครัวได้ต่อว่าผู้ตายว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ ผู้ตายก็พูดกับจำเลยว่าเย็ดแม่ มึงออกมาถ้าดุนัก พยานได้ยินเสียงโครมครามจึงออกจากครัวมาดู เห็นจำเลยนั่งคร่อมทับผู้ตายอยู่ พยานวิ่งลงจากบ้านไป เห็นว่า นอกจากข้อเท็จจริงที่พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความและให้การข้างต้น ก็ไม่อาจทราบว่าหลังจากที่พยานโจทก์ทั้งสองลงมาชั้นล่างของบ้านแล้วมีข้อเท็จจริงอะไรเกิดเหตุขึ้นอีกและจำเลยตีและแทงผู้ตายในลักษณะใด ได้ความจากร้อยตำรวจเอกวีระศักดิ์เบิกความประกอบพยานเอกสารต่าง ๆ ว่า เมื่อไปตรวจที่เกิดเหตุพบผู้ตายนอนหงายมีมีดปลายแหลมที่ด้ามมีโคร่งกันมือ 1 เล่ม โดยส่วนที่เป็นโคร่งวางอยู่ที่ฝ่ามือขวาของผู้ตายบริเวณนั้นมีที่นอนเป็นห้องโถงโล่ง พยานทำแผนที่เกิดเหตุโดยหมายเลข 1 เป็นจุดพบศพผู้ตาย พยานถ่ายรูป ทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ กับจำเลยให้การชั้นสอบสวนต่อร้อยตำรวจเอกวีระศักดิ์ว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยได้ยินเสียงผู้ตายทะเลาะกับนายสมหมายสักครู่มีเสียงโครมคราม จำเลยออกมาดู เห็นผู้ตายถีบด้านหลังนายสมหมายล้มลงผู้ตายตามไปทำร้ายอีก จำเลยได้ดึงมือผู้ตายเพื่อห้ามปราม แต่ผู้ตายดึงมีดจากเอวแทงจำเลย จำเลยกระโดดหลบ จำเลยหยิบด้ามพร้าตีผู้ตายที่ศีรษะจนไม้หักและผู้ตายถือมีดจะแทงจำเลยอีก จำเลยจึงใช้ไม้ตีผู้ตายอีกครั้งจนล้มลง ผู้ตายพยายามลุกขึ้นเพื่อทำร้ายจำเลยอีก จำเลยจึงวิ่งไปที่ตู้เย็นหยิบมีดเดินเข้าไปที่ผู้ตาย ใช้เท้าขวาเหยียบมือผู้ตายที่กำลังถือมีดอยู่และใช้มือซ้ายจับคางผู้ตาย แล้วใช้มือขวาเชือดคอผู้ตาย 1 ครั้ง ผู้ตายยังดิ้นรนอยู่ จำเลยจึงเอามีดพกส่วนตัวของจำเลยที่เก็บไว้ใต้ที่นอนของจำเลยที่อยู่ใกล้ ๆ มาแทงผู้ตายอีก 2 แผล เมื่อเห็นว่าผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงลงมาที่ชั้นล่างไปมอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจ แต่จำเลยกลับเบิกความในชั้นพิจารณาว่า เมื่อนางจันทร์ตักต้มตะกวดให้ผู้ตายแล้ว ขณะนายสมหมายหยิบต้มตะกวดมากินก็ถูกผู้ตายทุบมือ บอกว่าไม่ได้กิน นายสมหมายก็บอกว่าไม่ให้กินก็ไม่กิน แล้วนายสมหมายนั่งใกล้ผู้ตาย สักครู่หนึ่งจำเลยได้ยินเสียงทุบตี จำเลยออกจากครัวมาดูเห็นนายสมหมายถูกตีล้มลงไปแล้ว และผู้ตายจะทำร้ายนายสมหมายซ้ำอีก จำเลยจึงเข้าไปดึงมือผู้ตายออกมาไม่ให้ทำร้ายนายสมหมาย ผู้ตายชักมีดยาวประมาณ 6 นิ้ว ออกมาจากเอวแทงจำเลย จำเลยปัดมือผู้ตายจึงไม่ถูกคมมีด จำเลยได้เดินถอยหลัง ผู้ตายเดินตามจำเลยเข้ามาอีก จำเลยจึงหยิบด้ามพร้าตีผู้ตายที่ศีรษะ 1 ครั้ง ผู้ตายกลับพุ่งมาจะทำร้ายจำเลยอีก จำเลยจึงใช้ด้ามพร้าตีผู้ตายอีก 1 ถึง 2 ครั้ง ผู้ตายไม่ยอมหยุด จำเลยจึงหยิบมีดของบิดาที่ตั้งบนตู้เย็นแทงผู้ตาย 1 ถึง 2 ครั้งจนผู้ตายล้มลงกับพื้น เห็นได้ว่าจำเลยให้การชั้นสอบสวนแตกต่างขัดแย้งกับคำเบิกความชั้นพิจารณา แต่จำเลยให้การต่อร้อยตำรวจเอกวีระศักดิ์หลังเกิดเหตุไม่นาน ไม่มีเวลาที่จะคิดไตร่ตรองปรึกษาหารือกับบุคคลอื่นก่อนว่าจะให้การต่อสู้คดีอย่างไร กับจำเลยไม่ได้โต้แย้งว่าคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยร้อยตำรวจเอกวีระศักดิ์ได้จัดทำขึ้นไม่ถูกต้องอย่างไร และคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยมีรายละเอียดมากมายกว่าที่จำเลยเบิกความ หากจำเลยไม่ได้ให้การตามความเป็นจริงก็ยากที่ร้อยตำรวจเอกวีระศักดิ์จะจัดทำขึ้นมาปรักปรำจำเลยได้ทั้งลักษณะการตีและแทงผู้ตายตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย ก็สอดคล้องกับร่องรอยบาดแผลต่าง ๆ ของผู้ตายที่ปรากฏตามที่นายแพทย์สำเนียงได้ชันสูตรพลิกศพไว้จึงเชื่อได้ว่าจำเลยให้การในชั้นสอบสวนตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น คำเบิกความของจำเลยในชั้นพิจารณาไม่อาจรับฟังได้ คดีจึงฟังข้อเท็จจริงได้ว่าหลังจากผู้ตายถีบด้านหลังนายสมหมายล้มลงผู้ตายก็ตามไปจะทำร้ายอีก จำเลยได้ดึงมือผู้ตายเพื่อห้ามปรามแต่ผู้ตายดึงมีดจากเอวแทงจำเลย จำเลยหยิบด้ามพร้าตีผู้ตายที่ศีรษะจนไม้หัก ผู้ตายถือมีดจะแทงจำเลยอีก จำเลยจึงใช้ด้ามพร้าตีผู้ตายอีกครั้งจนล้มลง ผู้ตายพยายามลุกขึ้นเพื่อทำร้ายจำเลยอีก จำเลยจึงหยิบมีดของกลางกับใช้เท้าขวาเหยียบมือผู้ตายที่กำลังถือมีดอยู่และใช้มือซ้ายจับคางผู้ตาย ใช้มือขวาเชือดคอผู้ตาย 1 ครั้ง แต่ผู้ตายยังดิ้นรนอยู่ จำเลยจึงเอามีดพกส่วนตัวของจำเลยอีกเล่มหนึ่งมาแทงผู้ตายอีก 2 แผล จนผู้ตายถึงแก่ความตาย พฤติการณ์ที่ผู้ตายตามไปทำร้ายนายสมหมาย เมื่อจำเลยเข้าห้ามปรามผู้ตายก็ใช้มีดแทงจำเลย ถือว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงนายสมหมายและจำเลยแล้ว การที่จำเลยใช้ด้ามพร้าตีผู้ตายที่ศีรษะจนไม่หัก และเมื่อผู้ตายถือมีดจะแทงจำเลยอีก จำเลยจึงใช้ด้ามพร้าตีผู้ตายอีกครั้งจนล้มลงนั้น การตีผู้ตายดังกล่าวเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วและเมื่อผู้ตายพยายามจะลุกขึ้นอีก แต่จำเลยใช้เท้าขวาเหยียบมือผู้ตายที่กำลังถือมีดอยู่แสดงว่าภยันตรายที่เกิดจากการกระทำของผู้ตายนั้นถูกจำเลยควบคุมมิให้ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นอีกได้ ถือว่าภยันตรายที่จะก่อแก่นายสมหมายและจำเลยหมดไปแล้วจำเลยไม่จำเป็นต้องทำร้ายผู้ตายอย่างใดอีก ดังนั้น การที่จำเลยใช้มือซ้ายจับคางผู้ตายใช้มือขวาซึ่งถือมีดเชือดคอผู้ตาย 1 ครั้ง และเมื่อผู้ตายยังดิ้นรนอยู่ จำเลยยังเอามีดพกส่วนตัวของจำเลยอีกเล่มหนึ่งมาแทงผู้ตายถึง 2 แผลอีก นับเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 เพราะหากจำเลยไม่เชือดคอผู้ตาย ผู้ตายก็คงไม่ถึงแก่ความตาย เพราะจากการชันสูตรพลิกศพของนายแพทย์สำเนียงข้างต้นเป็นการชัดแจ้งแล้วว่าบาดแผลที่ลำคอเป็นสาเหตุการตายของผู้ตายนั่นเองคดีจึงฟังไม่ได้ว่าการที่จำเลยฆ่าผู้ตายเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยที่ว่า ขณะจำเลยแทงผู้ตาย ภยันตรายที่ผู้ตายจะกระทำต่อนายสมหมายและจำเลยยังไม่สิ้นสุด การที่จำเลยฆ่าผู้ตายจึงเป็นการป้องกันภัยอันตรายที่ยังมีอยู่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น จึงฟังไม่ขึ้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
สำหรับฎีกาของจำเลยอีกข้อหนึ่งว่า มีเหตุสมควรให้ลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษให้จำคุกจำเลย 6 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับพฤติการณ์ที่จำเลยฆ่าผู้ตายโดยวิธีเชือดคอซึ่งเป็นวิธีการที่สยดสยองอย่างยิ่ง กับจำเลยยังเอามีดพกส่วนตัวของจำเลยมาแทงผู้ตายอีก 2 แผลแล้ว นับเป็นกำหนดโทษที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งการกระทำผิดแล้ว คดีไม่มีเหตุผลเพียงพอตามฎีกาของจำเลยที่ศาลฎีกาจะกำหนดโทษให้ต่ำไปกว่านี้อีก และเมื่อจำเลยต้องโทษจำคุกเกินสามปี คดีจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ศาลจะรอการลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share