คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2093/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำความผิดของจำเลยเป็นกรรมเดียว มิใช่หลายกรรมต่างกัน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลอุทธรณ์ แต่กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยให้
จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนเรื่องโฉนดที่ดินสูญหาย และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสมียนประจำวันสถานีตำรวจเดียวกันจดบันทึกข้อความลงในรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารดังกล่าวสูญหาย เป็นการกระทำในวันเดียวกันและเวลาต่อเนื่องกัน โดยมีเจตนาเดียวกันที่จะขอคัดสำเนาเอาข้อความเท็จนั้นไปแสดงอ้างอิงเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อขอรับใบแทนโฉนดที่ดิน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตาม มาตรา 267 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2538 เวลากลางวัน จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ แจ้งข้อความต่อร้อยตำรวจเอกชัยวัฒน์ แป้นสุวรรณพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตำบลเพ ซึ่งทำหน้าที่ร้อยเวรสอบสวนประจำวันว่าโฉนดที่ดินเลขที่ 7417 และโฉนดที่ดินเลขที่ 11799 ของจำเลยหายไปอันเป็นความเท็จความจริงแล้วโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับมิได้สูญหาย หากแต่ฉบับแรกจำเลยยินยอมให้ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมยึดถือไว้ ส่วนฉบับหลังจำเลยมอบให้ผู้ให้กู้ยืมเงินยึดถือไว้เป็นประกัน การกระทำของจำเลยดังกล่าวอาจทำให้บุคคลดังกล่าวหรือประชาชนได้รับความเสียหาย และจำเลยแจ้งให้จ่าสิบตำรวจไชยา หาญมานพ เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรตำบลเพ ผู้กระทำการตามหน้าที่เป็นเสมียนประจำวันมีหน้าที่ลงบันทึกการแจ้งความ จดบันทึกข้อความลงในรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหาย อันเป็นเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานอ้างอิง อันเป็นความเท็จทั้งจำเลยยังได้ขอคัดสำเนาเอาข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวไปแสดงอ้างอิงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขามีนบุรี เพื่อขอรับใบแทนโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้เจ้าของกรรมสิทธิ์รวม หรือประชาชนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 91

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 91 ให้เรียงกระทงลงโทษฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานจำคุก 4 เดือน ฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการจำคุก 1 ปี รวมจำคุก 1 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 8 เดือน

จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำความผิดของจำเลยเป็นกรรมเดียวมิใช่หลายกรรมต่างกันดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ภาค 1 แต่กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยจึงยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยให้และเห็นว่า การที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตำบลเพเรื่องโฉนดที่ดินสูญหาย และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสมียนประจำวันสถานีตำรวจเดียวกันจดบันทึกข้อความลงในรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารดังกล่าวสูญหายเป็นการกระทำในวันเดียวกันและเวลาต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียวกันที่จะขอคัดสำเนาเอาข้อความเท็จนั้นไปแสดงอ้างอิงต่อเจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขามีนบุรี เพื่อขอรับใบแทนโฉนดที่ดิน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท และเห็นว่าที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้จำเลยศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และมาตรา 267 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share