คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2092/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำแถลงต่อศาลว่า ศาลมีคำสั่งให้จำเลยขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินที่ผู้ร้องซื้อจากการขายทอดตลาดของศาล ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ขนย้าย ผู้ร้องจึงทำการขนย้ายเครื่องจักรออกไปฝากคลังสินค้า โดยผู้ร้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าเช่าโกดัง ขอให้จำเลยชำระ ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยปฏิบัติ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นให้ผู้ร้องรับผิดค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเครื่องจักรและค่ารักษาที่ฝากคลังสินค้าถึงวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนค่ารักษาเครื่องจักรนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึงวันรับเครื่องจักรคืนจากคลังสินค้าให้จำเลยรับผิดคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการบังคับผู้ร้องและจำเลยให้ต้องรับผิดปฏิบัติตามคำสั่งและคำพิพากษาแต่ปรากฏว่าผู้ร้องเป็นผู้ซื้อที่ดินได้จากการขายทอดตลาดของศาลหาใช่เป็นผู้มีอำนาจขอให้บังคับจำเลยได้ไม่ เพราะผู้ร้องมิใช่คู่ความหรือบุคคลผู้เป็นฝ่ายชนะ(เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) แต่เป็นบุคคลภายนอกคดี ไม่มีสิทธิบังคับคดีในคดีนี้ได้.เมื่อมีข้อโต้แย้งสิทธิเกิดขึ้นระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องก็ชอบที่จะฟ้องจำเลยเป็นคดีต่างหากจากคดีเดิม จะใช้สิทธิขอบังคับจำเลยในคดีนี้ไม่ได้ ศาลชอบที่จะยกคำแถลงของผู้ร้องเสียแต่ต้นเมื่อตามกฎหมายผู้ร้องไม่มีอำนาจขอให้ศาลบังคับจำเลยในคดีนี้ได้แล้ว แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ให้ต้องรับผิดก็ตาม กรณีเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยให้จำเลยไม่ต้องรับผิดได้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้ยึดที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างของจำเลยขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินชำระหนี้ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อได้เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2514 ต่อมาวันที่ 24 มิถุนายน 2514 ผู้ร้องร้องต่อศาลชั้นต้นว่าจำเลยยังไม่ได้ขนย้ายเครื่องจักรของจำเลยออกไปจากที่ดินที่ผู้ร้องซื้อทอดตลาดได้นั้นและโอนเป็นของผู้ร้องแล้ว ขอให้ศาลเรียกจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 มาสอบถาม วันที่ 30 สิงหาคม 2514 ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยที่ 2 แถลงว่าได้ยื่นอุทธรณ์ว่าการขายทอดตลาดเป็นโมฆะไว้แล้วขอให้รอศาลอุทธรณ์ตัดสินก่อนหรือมิฉะนั้นขอเวลาขนย้าย 5 เดือน ผู้ร้องแถลงว่าจำเลยจงใจที่จะไม่รื้อถอนเครื่องจักรออกไป ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า ให้จำเลยรื้อถอนเครื่องจักรออกจากที่ดินของผู้ร้องภายในวันที่ 21 กันยายน 2514 และห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของผู้ร้องต่อไป หากพ้นกำหนดไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้อง จะได้พิจารณาออกหมายจับหรือกำหนดการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อมาวันที่ 20 กันยายน 2514 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร้องว่าไม่อาจขนย้ายออกไปภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้น ขอเวลารื้อถอนไปอีก 4 เดือน และวันที่ 22 กันยายน 2514 ผู้ร้องร้องว่า จำเลยที่ 2ไม่ขนย้ายเครื่องจักรออกไป กลับขนของและบริวารเข้าไปทำงานในโรงงานและที่ดินของผู้ร้อง ขอให้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 และบริวารมากักขังจนกว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นเห็นว่าศาลได้กำหนดเวลาให้จำเลยขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินของผู้ร้องภายในวันที่ 21 กันยายน 2514 ครบกำหนดก็ไม่ออก ศาลได้เลื่อนเวลานัดพร้อมมาอีก 2 นัด จนถึงวันนัดพร้อมนี้ จำเลยก็ยังไม่ขนย้ายออกไปจึงให้จำเลยขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินของโจทก์อีกครั้งหนึ่งมีกำหนด 15 วัน พ้นกำหนดยังไม่ขนย้ายก็ให้ผู้ร้องมีอำนาจขนย้ายได้เองโดยคิดค่าใช้จ่ายจากจำเลยที่ 2 ในการขนย้าย ให้ผู้ร้องแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจไปเป็นสักขีพยาน จำเลยที่ 2 ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว

จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น

ระหว่างศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยดังกล่าววันที่ 15 ธันวาคม 2514 ผู้ร้องร้องว่าจำเลยไม่ขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงทำการขนย้ายเองตามคำสั่งศาลชั้นต้นและได้นำเครื่องจักรไปเก็บไว้ที่คลังสินค้าธนาคารเอเซียทรัสต์ จำกัด สินค้าใช้จ่ายในการขนย้ายและค่าเช่าโกดังระหว่างวันที่ 3 ธันวาคม 2514 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2515 รวมทั้งสิ้น 14,400 บาท ขอให้ศาลเรียกจำเลยที่ 2 ไปตรวจรับเครื่องจักรจากคลังสินค้าและให้จำเลยชำระเงินค่าใช้จ่ายดังกล่าว และค่าเช่าโกดังงวดต่อไปให้ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นสั่งว่าให้จำเลยทราบและแจ้งให้จำเลยปฏิบัติ

ต่อมาวันที่ 17 เมษายน 2515 ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องและจำเลยฟังโดยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของผู้ร้องโดยวินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ทั้งการบังคับคดีเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเสร็จสิ้นไปแล้ว ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งให้จำเลยรื้อถอนเครื่องจักรออกจากที่ดินของผู้ร้อง ครั้นวันที่ 21 เมษายน 2515 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้ทำการขนย้ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งหมดของจำเลยออกไปจากที่ดินของผู้ร้องทั้ง ๆ ที่ผู้ร้องทราบว่าจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นและขอทุเลาการขนย้ายต่อศาลอุทธรณ์ เป็นการกระทำไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและปราศจากเจตนาสุจริต เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องเช่นนี้ จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับให้ผู้ร้องขนย้ายเครื่องจักรและอุปกรณ์กลับมาเก็บไว้ที่เดิมและให้รับผิดในค่าใช้จ่ายทั้งหมด ศาลชั้นต้นสั่งว่าเป็นคำสั่งของศาลไม่เกี่ยวกับผู้ร้องผู้ร้องทำไปตามคำสั่งศาลเท่านั้น ให้ยกคำร้อง อนึ่ง ศาลสั่งให้จำเลยจ่ายค่าขนย้ายให้ผู้ร้อง จึงให้จำเลยชำระแก่ผู้ร้องเสียด้วย

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องของผู้ร้องเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2514 และที่สั่งคำร้องของจำเลยเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2515

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นว่า ให้ผู้ร้องเป็นผู้รับผิดเสียค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเครื่องจักรของจำเลยออกไปและค่าฝากรักษาทรัพย์ต่อคลังสินค้าของธนาคารเอเซียทรัสต์นับจากวันฝากถึงวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และให้จำเลยรับผิดชำระค่ารักษาทรัพย์ให้คลังสินค้านับหลังจากวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปจนถึงวันรับเครื่องจักรคืนจากคลังสินค้า นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น

ผู้ร้องฎีกาขอให้พิพากษาไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยแต่เฉพาะคำแถลงของผู้ร้องลงวันที่ 15 ธันวาคม 2514 ว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งจำเลยปฏิบัติตามคำแถลงของผู้ร้องได้หรือไม่ ผู้ร้องอ้างตามคำแถลงว่าศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 ขนย้ายเครื่องจักรทั้งหมดออกจากที่ดินผู้ร้องซื้อจากการขายทอดตลาดของศาล แต่ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ขนย้ายผู้ร้องจึงทำการขนย้ายเครื่องจักรออกไปฝากคลังสินค้าธนาคารเอเซียทรัสต์ จำกัด โดยผู้ร้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าเช่าโกดังเป็นเงิน 14,400 บาท ขอให้จำเลยชำระ ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งว่าให้จำเลยทราบ และแจ้งให้จำเลยปฏิบัติ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นว่าให้ผู้ร้องรับผิดค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเครื่องจักรและค่ารักษาเครื่องจักรที่ฝากคลังสินค้า ถึงวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนค่ารักษาเครื่องจักรนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึงวันรับเครื่องจักรคืนจากคลังสินค้า ให้จำเลยรับผิดศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการบังคับผู้ร้องและจำเลยให้ต้องรับผิด ปฏิบัติตามคำสั่งและคำพิพากษา แต่ปรากฏว่าผู้ร้องเป็นผู้ซื้อที่ดินได้จากการขายทอดตลาดของศาล หาใช่เป็นผู้มีอำนาจขอให้บังคับจำเลยได้ไม่เพราะผู้ร้องมิใช่คู่ความหรือบุคคลผู้เป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 โจทก์ต่างหากเป็นคู่ความหรือเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย และการบังคับคดีของโจทก์ที่มีต่อจำเลยก็เสร็จสิ้นไปแล้ว ผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกคดีไม่มีสิทธิบังคับคดีในคดีนี้ได้ เมื่อมีข้อโต้แย้งสิทธิเกิดขึ้นผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องก็ชอบที่จะฟ้องจำเลยเป็นคดีต่างหากจากคดีเดิม จะใช้สิทธิขอบังคับจำเลยในคดีนี้ไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ ฉะนั้น ศาลชั้นต้นจะบังคับจำเลยที่ 2 ให้ปฏิบัติตามคำแถลงของผู้ร้องลงวันที่ 15 ธันวาคม 2514 และเช่นเดียวกันศาลอุทธรณ์จะบังคับให้ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดหาได้ไม่ชอบที่ศาลจะยกคำแถลงดังกล่าวของผู้ร้องเสียแต่ต้น แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ให้ต้องรับผิดก็ตาม แต่เมื่อตามกฎหมายผู้ร้องไม่มีอำนาจขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ได้แล้ว กรณีจึงเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาจึงเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)

จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกคำแถลงของผู้ร้องลงวันที่ 15 ธันวาคม 2514 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share