คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นบริษัทจำกัดประกอบกิจการโรงงานผลิตอาหารสัตว์ทุกชนิดเพื่อจำหน่ายจำเลยทั้งสองมีอาชีพเลี้ยงกุ้งและเป็นลูกค้าโจทก์โดยซื้ออาหารและผลิตภัณฑ์การเลี้ยงกุ้งไปเพื่อเลี้ยงกุ้งจำหน่ายมิได้ซื้อไปเพื่อเลี้ยงกุ้งไว้บริโภคเองกรณีจึงตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/34ตอนท้ายที่ว่าเว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเองดังนั้นอายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนด5ปีหาใช่2ปีไม่ปรากฎว่าจำเลยที่1ลงชื่อยอมรับยอดหนี้ตามบันทึกลงวันที่1ตุลาคม2533อันมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเมื่อนับระยะเวลาจากวันดังกล่าวถึงวันฟ้องยังไม่พ้นกำหนด5ปีฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการโรงงานผลิตอาหารสัตว์ทุกชนิดและทำการค้าซึ่งสินค้าดังกล่าวทั้งในประเทศและส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศจำเลยทั้งสองได้ซื้ออาหารและผลิตภัณฑ์การเลี้ยงกุ้งไปจากโจทก์เพื่อนำไปเลี้ยงกุ้งของจำเลยทั้งสอง รวม 20 ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้น4,297,756 บาท ต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม 2533 จำเลยที่ 1 ทำบันทึกรับรองว่าเป็นหนี้โจทก์คิดถึงวันที่ 30 กันยายน 2533 เป็นเงินทั้งสิ้น 4,764,131.60 บาท เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ดังกล่าวเป็นเงิน 4,297,756 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์เป็นพ่อค้าฟ้องเรียกเอาค่าสินค้าที่ได้ส่งมอบจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2533 เป็นต้นมานับถึงวันฟ้องคือวันที่ 23เมษายน 2536 เป็นระยะเวลาเกิน 2 ปี ฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา193/34(1) ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่ามาตรา 193/33 บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความห้าปี (5) สิทธิเรียกร้องตามมาตรา 193/34(1)(2) และ(5)ที่ไม่อยู่ในบังคับอายุความสองปี” และมาตรา 193/34 บัญญัติว่า”สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ ให้มีกำหนดอายุความสองปี (1)ผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรม ผู้ประกอบหัตถกรรม เรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ ค่าการงานที่ได้ทำหรือค่าดูแลกิจการของผู้อื่นรวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไป เว้นแต่เป็นกรณีที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง” คำว่า “กิจการ” มีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานว่า การงานที่ประกอบซึ่งความหมายย่อมจะครอบคลุมถึงการใด ๆ ที่ได้ทำเพื่อเป็นการทำมาหาได้ ลักษณะเป็นการประกอบอาชีพ เมื่อจำเลยทั้งสองประกอบอาชีพตั้งฟาร์มเลี้ยงกุ้ง การซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 ตอนท้ายซึ่งสิทธิเรียกร้องมีกำหนดอายุความ 5 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัดประกอบกิจการโรงงานผลิตอาหารสัตว์ทุกชนิดเพื่อจำหน่าย ส่วนจำเลยทั้งสองมีอาชีพเลี้ยงกุ้งตั้งฟาร์มชื่อ “วิทยาฟาร์ม” และเป็นลูกค้าโจทก์ โดยซื้ออาหารและผลิตภัณฑ์การเลี้ยงกุ้งจากโจทก์เพื่อนำไปเลี้ยงกุ้ง เมื่อจำเลยทั้งสองซื้ออาหารและผลิตภัณฑ์การเลี้ยงกุ้งไปเพื่อเลี้ยงกุ้งจำหน่ายหาได้ซื้อไปเพื่อเลี้ยงกุ้งไว้บริโภคเอง กรณีจึงตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34 ตอนท้ายที่ว่าเว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง ดังนั้น อายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนด 5 ปี หาใช่ 2 ปี ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไม่เมื่อปรากฎว่าจำเลยที่ 1 ได้ลงชื่อยอมรับยอดหนี้ตามบันทึกเอกสารหมาย จ.6 ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2533 อันมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเมื่อนับระยะเวลาจากวันดังกล่าวถึงวันที่ 23 เมษายน 2536ซึ่งเป็นวันฟ้องยังไม่พ้นกำหนด 5 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความฎีกาโจทก์ฟังขึ้น เมื่อฟังได้วินิจฉัยมาแล้วว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ ปัญหาว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระราคาอาหารและผลิตภัณฑ์การเลี้ยงกุ้งแก่โจทก์เพียงใด ปัญหานี้เนื่องจากโจทก์ได้นำสืบข้อเท็จจริงมาเสร็จสิ้นเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ โจทก์นำสืบฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองได้สั่งซื้ออาหารและผลิตภัณฑ์การเลี้ยงกุ้งจากโจทก์ไปรวม 20 ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้น 4,297,756 บาท จำเลยทั้งสองได้รับสินค้าไปครบถ้วนแล้วเมื่อถึงกำหนดชำระราคาจำเลยทั้งสองไม่ชำระ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชำระราคาเป็นเงิน 4,297,756 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปตามที่โจทก์ขอ”
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 4,297,756 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share