แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
1. เดิมคู่ความฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น ต่อมายืนคำร้องอีกฉบับเตือนให้ศาลเร่งพิจารณาวินิจฉัยคำร้องฉะบับเดิมศาลนัดพร้อมคู่ความฝ่ายที่ยื่นขาดนัด ศาลสั่งยกคำร้องฉบับที่เตือนเสีย ฟังไม่หมายความถึงให้ยกคำร้องเดิมที่ขอรับชำระหนี้นั้นด้วย
2. ผู้รับจำนองย่อมเป็นเจ้าหนี้มีบุริมสิทธิชอบที่จะร้องขอรับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีคำพิพากษา ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมนั้น เมื่อคู่ความอีกฝ่ายมิได้โต้แย้งมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลก็ไม่วินิจฉัยให้
3. คำสั่งของศาลที่ชี้ขาดว่าผู้ร้องขอรับชำระหนี้จำนองของจำเลยมีสิทธิจะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นได้นั้น หาเป็นการลบล้างคำพิพากษาของศาลในคดีอื่น (คดีแดงที่ 1472/2497 ) ที่ผู้ฎีกา (ผู้ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์อีกรายหนึ่ง) ฟ้องขอให้แยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับสามีไม่
4. เมื่อคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารฉบับใด ให้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ แม้จะฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าว
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินยืมกับดอกเบี้ยและขอยึดที่ดินตำบลบางขุนพรม พระนครโฉนดที่ ๑๖๙๙ พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างของจำเลยไว้ก่อนคำพิพากษา จำเลยขาดนัด ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้รายนี้
ม.ล.ปองผู้ร้องร้องว่าได้รับจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ยึดไว้ ขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้บุริมสิทธิก่อนเจ้าหนี้อื่น
นางบุหงาผู้ร้องอีกคนหนึ่งร้องว่าเป็นเจ้าหนี้นายยศสามีจำเลย ทรัพย์ที่โจทก์ยึดเป็นสินสมรสและสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับนายยศ นายยศมีได้รู้เห็นยินยอมอนุญาตให้จำเลยเป็นหนี้โจทก์และ ม.ล.ปอง และอ้างเหตุอีกหลายประการสรุปแล้วถือว่าโจทก์และ ม.ล.ปองไม่มีสิทธิจะยึดส่วนบริคณห์ของนายยศ นางบุหงาชอบที่จะได้รับการเฉลี่ยในส่วนของจำเลยอีก
โจทก์แถลงคัดค้านผู้ร้องทั้งสอง
๑. รับว่าทรัพย์ที่ยึดติดจำนองเพียง ๓๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ย ๑๕,๗๕๐ บาท ม.ล.ปองรับไปแล้ว การขึ้นเงินจำนองอีก ๒๐,๐๐๐ บาทที่นางบุหงาว่าสมยอมโดยทุจริตนั้นไม่ทราบว่าจะเป็นจริงอย่างไร
๒. นางบุหงาไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์เพราะจำเลยมิได้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของนางบุหงา ไม่รับรองว่านายยศกับจำเลยจะเป็นสามีภริยากัน และคัดค้านสิทธิ์อย่างอื่นของนางบุหงาอีกหลายประการ
ม.ล.ปองผู้ร้องคัดค้านคำร้องของนางบุหงาว่า นางบุหงาไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยหรือขอกันทรัพย์สินบริคณห์ชำระหนี้นางบุหงา ๆ ต้องฟ้องพิศูจน์ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้นางบุหงาตามคำพิพากษาเสียก่อน
ศาลสั่งให้ผู้ร้องทั้งสองไปว่ากล่าวกันให้เสร็จเสียก่อน ส่วนคู่ความทุกฝ่ายตกลงขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาต ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทรัพย์พิพาทแล้วให้กองหมายรักษาเงินไว้ก่อน ศาลอนุญาต
เนื่องจากศาลสั่งให้ผู้ร้องทั้งสองไปว่ากล่าวกันเองเสียก่อน นางบุหงาจึงฟ้อง ม.ล. ปอง แต่ภายหลังกลับถอนฟ้อง ม.ล.ปองจึงยื่นคำร้องสรุปแล้วเป็นการเร่งรัดให้พิจารณาคำร้องของ ม.ล.ปองให้ได้รับชำระหนี้จำนองตามคำร้องเดิม
ศาลนัดพร้อม ถึงกำหนด ม.ล.ปองและทนายไม่มา ทนายโจทก์แถลงขอให้ยกคำร้องของ ม.ล.ปองที่ขอเฉลี่ย(คำร้องขอรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น ) ศาลแพ่งสั่งยกคำร้องของ ม.ล.ปอง แต่ในคำสั่งฉะบับเดียวกันนี้ยังคงถือว่า ม.ล.ปองมีฐานะเป็นผู้ร้องขออยู่อีกฝ่ายหนึ่งดังเดิม
หลังจากศาลสั่งยกคำร้อง(คำร้องเตือนให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยคำร้องเดิมที่ขอรับชำระหนี้จำนอง) ของ ม.ล.ปองแล้ว ต่อมา ม.ล.ปองยื่นคำร้องว่าคดีที่นางบุหงาฟ้องแยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับนายยศนั้น ศาลได้พิพากษาแล้ว ขอให้ศาลพิจารณาคำร้อง(คำร้องเดิมที่ขอรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น) ของผู้ร้องต่อไป
โจทก์และนางบุหงาแถลงต้องกันว่าศาลยกคำร้องของ ม.ล.ปองแล้ว ต้องถือว่าคดีของ ม.ล.ปองเสร็จสิ้นไปแล้ว
แล้วนางบุหงาร้องขอให้ศาลสั่งแยกเงินที่เป็นสินบริคณห์ของนายยศออกจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้นางบุหรา โจทก์และ ม.ล.ปองคัดค้านนางบุหงาก็ค้านว่าหนี้สินของ ม.ล.ปองมิใช่หนี้ตามคำพิพากษา จะเป็นหนี้กันจริงหรือไม่ ๆ รับรอง เอกสารไม่สุจริต การจำนองไม่ผูกพันส่วนได้ของนายยศซึ่งเป็นลูกหนี้ของนางบุหงา
ศาลนัดพร้อม ม.ล.ปองแถลงรับว่าได้รับดอกเบี้ยจากจำเลยแล้ว
ทนายโจทก์แถลงไม่สืบพยานต่อสู้ในข้อกฎหมายว่าการที่นายยศเซ็นชื่อเป็นพยานในการจำนองไม่ถือว่าได้ยินยอมเป็นหนังสือ
นอกจากนี้โจทก์และนางบุหงาคัดค้านว่าศาลได้สั่งยกคำร้อง(คำร้องเตือนให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยคำร้องเดิม ๒๓ ก.พ. ๙๔ ที่ขอรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น) ของม.ล.ปองไปแล้ว ไม่มีสิทธิที่จะสั่งให้นัดพิจารณาอีก
ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ ม.ล.ปองผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากเงินที่ขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้อื่นตามคำร้อง ๒๓ ก.พ. ๒๔๙๔ หักดอกเบี้ยแล้ว ม.ล.ปองยังมีสิทธิจะขอหักเพียง ๕,๑๕๐๐ บาท แต่การขายทอดตลาดได้เงิน ๔๕,๒๐๐ บาทให้ ม.ล.ปองรับชำระจากเงินจำนวนนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา ๒๘๙ ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับไปทุกฝ่าย
นางบุหงาผู้ร้องฝ่ายเดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น
นางบุหงาผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า
ฎีกาข้อ ๑. เห็นฟ้องด้วยศาลอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ม.ล.ปอง ๖ ก.ค.๒๔๙๔ ซึ่งเป็นคำร้องเตือนให้พิจารณาวินิจฉัยคำร้องเดิมของ ม.ล.ปอง ๒๓ ก.พ. ๒๔๙๔ ที่ศาลชั้นต้นยังมิได้ไต่ส่วนพิจารณาให้เท่านั้น ศาลชั้นต้นหาได้สั่งยกคำร้องเดิมนั้นไม่
ฎีกาข้อ ๒. ข้อความตามมาตรา ๒๘๙ ป.วิแพ่งนั้น เมื่อได้ความว่า ม.ล.ปองเป็นผู้รับจำนองย่อมเป็นเจ้าหนี้มีบุริมสิทธิ ชอบที่จะร้องขอรับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีคำพิพากษา ส่วนเรื่องฤชาธรรมเนียม ม.ล.ปองจะต้องเสียอย่างคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่นั้น นางบุหงามิได้โต้แย้งมาแต่ในศาลชั้นต้น จึงไม่วินิจฉัย
ฎีกาข้อ ๓. คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทกันในคดีนี้ว่า ม.ล.ปองเจ้าหนี้ผู้รับจำนองของจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นของจำเลยหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าการจำนองรายนี้นายยศมีสามีจำเลยรู้เห็นยินยอมได้ลงนามในสัญญาจำนองก็ย่อมผูกพันสินบริคณห์ มีอำนาจวินิจฉัยและมีคำสั่งชี้ขาดไปตามนั้นได้ หาเป็นการลบล้างคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีแดงที่ ๑๔๗๒/๒๔๙๗ ที่ผู้ฎีกาฟ้องขอให้แยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับนายยศสามีจำเลยไม่
ฎีกาข้อ ๔. เอกสาร ป.๓ สัญญาขึ้นเงินจำนองเป็นเอกสารที่ศาลหมายเรียกมาผู้อ้างไม่ต้องส่งสำเนาให้อีกฝ่ายก่อนวันนัดพิจารณา ๓ วัน ทั้งนายยศได้ลงลายมือชื่อในเอกสารถือได้ว่ายินยอมให้จำเลยเอาสินสมรสอันเป็นสินบริคณห์ไปจำนองได้
เอกสาร ป.๔ นั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลมีอำนาจให้อ้างได้ตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา ๘๗ อนึ่งแม้จะไม่รับฟังเอกสาร ป.๔ ม.ล. ปองก็ยังมีเอกสาร ป.๓ ซึ่งนายยศสามีจำเลยได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานรู้เห็นในการจำนอง ฟังได้ว่านายยศได้ยินยอมด้วยแล้ว
พิพากษายืน