แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยมียาเสพติดให้โทษชนิดเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย และได้บังอาจจำหน่ายยาเสพติดให้โทษดังกล่าวนั้น เป็นการกระทำความผิดกรรมเดียว มิใช่เป็นความผิดสองกรรม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจมียาเสพติดให้โทษชนิดเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนหนัก 9.77 กรัม ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำเลยบังอาจจำหน่ายยาเสพติดให้โทษดังกล่าวให้แก่ผู้มีชื่อด้วย ทั้งนี้ โดยมิใช่เพื่อประโยชน์ในราชการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี และโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ, 20 ตรี พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 4, 6, 7, 12 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานมีเฮโรอีนของกลางไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนของกลางตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465มาตรา 20 ตรี, (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 6 อันเป็นความผิดสองกรรมให้จำคุกกรรมละ 5 ปี รวมจำคุกจำเลย 10 ปี จำเลยรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 5 ปีของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายบทเดียวกัน พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ทวิ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504มาตรา 6 แต่กรรมเดียว จำคุก 5 ปี ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 2 ปี 6 เดือน ของกลางริบ
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่จำเลยบังอาจมีเฮโรอีนของกลางไว้ในความครอบครองของจำเลยก็โดยเจตนาจะจำหน่าย และเฮโรอีนที่จำเลยจำหน่ายให้แก่ผู้มีชื่อก็คือเฮโรอีนของกลางที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายนั่นเอง มิใช่เอาเฮโรอีนอื่นมาจำหน่าย การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวกัน มิใช่เป็นความผิดสองกรรม
พิพากษายืน