คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2084/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ตกได้แก่จำเลยที่ 1 และโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อนต้องเสียเปรียบ การโอนดังกล่าวจึงอาจถูกเพิกถอนได้ เว้นแต่จะเป็นการโอนอันมีค่าตอบแทนซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริต กรณีเช่นนี้เป็นเรื่องการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา 1300 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มิใช่กรณีเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นน้องร่วมบิดามารดากับเจ้ามรดก โจทก์จึงมีสิทธิได้รับมรดกร่วมกับจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นภริยาของเจ้ามรดกคนละครึ่ง อันมีที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๔และ ๖๐๑ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี จำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกโดยโจทก์ไม่ทราบ ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการมรดก หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ สมคบกันจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โดยมิได้นำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์จึงขอให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองโฉนดระหว่างจำเลยทั้งสาม และขอให้เพิกถอนจำเลยที่ ๑ จากการเป็นผู้จัดการมรดก
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลจำเลยที่ ๑ ได้กู้ยืมเงินจากจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มาใช้ในการจัดงานศพเจ้ามรดกตามประเพณีด้วยความรู้เห็นยินยอมของโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ จึงตกลงขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๔ และ ๖๐๑ ให้แก่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ตามลำดับ เมื่อหักเงินที่กู้ยืมแล้วคงเหลือเงินอีกจำนวนหนึ่งซึ่งจำเลยที่ ๑ จะแบ่งให้แก่โจทก์หลังจากได้จัดการเผาศพเจ้ามรดกแล้ว
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ ๑ในฐานะผู้จัดการมรดกโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน โจทก์ไม่มีสิทธิจะขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสาม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้งสองโฉนดตามฟ้อง และให้ถอนจำเลยที่ ๑ ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา ต่อมาจำเลยที่ ๓ ขอถอนฎีกา ศาลฎีกาอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ ๓
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ โจทก์จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมได้จะต้องได้ความว่า จำเลยที่ ๒ เข้าทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกับจำเลยที่ ๑ โดยรู้อยู่แล้วว่าจะทำให้โจทก์เสียเปรียบ จำเลยที่ ๒ เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตจึงมิได้ทำให้โจทก์เสียเปรียบนั้น เห็นว่าตัวบทกฎหมายที่จะนำมาปรับในกรณีเรื่องนี้หาใช่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่ แต่กรณีเรื่องนี้เป็นเรื่องการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา ๑๓๐๐ การที่จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๔ ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายวอนที่ตกได้แก่จำเลยที่ ๑ และโจทก์ให้แก่จำเลยที่ ๒ นั้น ย่อมเป็นการเสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน การโอนดังกล่าวจึงอาจถูกเพิกถอนได้ เว้นแต่การโอนอันมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริต และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้รับโอนได้กระทำการโดยสุจริต และเห็นว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๔ นั้น จำเลยที่ ๑ และโจทก์มีส่วนคนละครึ่ง จึงให้เพิกถอนการโอนเฉพาะส่วนของโจทก์เท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่าให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๔ ระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เฉพาะส่วนของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share