คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2083/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำสั่งศาลที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานะละเมิดอำนาจศาลนั้นเป็นคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(1)ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยจึงไม่จำต้องขออนุญาตผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีนี้ในชั้นไต่สวนของศาลชั้นต้น ผู้ถูกกล่าวหาได้ให้การรับสารภาพโดยไม่มีข้อต่อสู้เป็นอย่างอื่น คดีต้องฟังตามคำรับสารภาพของผู้ถูกกล่าวหาว่า ผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาพาอาวุธปืนติดตัวมาในบริเวณศาล อันเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล จึงเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามที่ถูกกล่าวหาผู้ถูกกล่าวหาจะฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ เพราะไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากนายเสน่ห์ สอนรัก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำศาลชั้นต้นกล่าวหาผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลชั้นต้นว่าขณะที่ผู้กล่าวหาปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้นอาวุธอยู่ที่ประตูตรวจค้นอาวุธหน้าศาล ผู้ถูกกล่าวหาขึ้นมาบนศาลและเข้าช่องประตูทางออกโดยไม่เข้าทางประตูตรวจอาวุธ ผู้กล่าวหาจึงขอตรวจค้นกระเป๋าสะพายของผู้ถูกกล่าวหา พบอาวุธปืนสั้นขนาด .357 จำนวน1 กระบอก ซึ่งเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและมีกระสุนปืนบรรจุอยู่ 6 นัด อยู่ในกระเป๋าสะพายดังกล่าว อันเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1), 33 วรรคท้าย (ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15) จำคุก 3 เดือน

ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นสมควรกล่าวเสียก่อนว่า คำสั่งศาลที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานละเมิดอำนาจศาลนั้น เป็นคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(1) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยจึงไม่จำต้องขออนุญาตผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ที่ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาประการแรกในทำนองว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีเจตนากระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เพราะขณะเกิดเหตุผู้ถูกกล่าวหาไม่รู้ว่าในกระเป๋าสะพายของผู้ถูกกล่าวหามีอาวุธปืนซุกซ่อนอยู่เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาหลงลืมไปว่าได้ใส่อาวุธปืนดังกล่าวไว้ และผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ตรวจดูภายในกระเป๋าก่อนเดินทางมาศาลนั้น เห็นว่า คดีในชั้นไต่สวนของศาลชั้นต้น ผู้ถูกกล่าวหาได้ให้การรับสารภาพโดยไม่มีข้อต่อสู้เป็นอย่างอื่น คดีต้องฟังตามคำรับสารภาพของผู้ถูกกล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาพาอาวุธปืนติดตัวมาในบริเวณศาล อันเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล จึงเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามที่ถูกกล่าวหาผู้ถูกกล่าวหาจะฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ เพราะไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาประการต่อมาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่พาอาวุธปืนติดตัวมาในบริเวณศาลนั้น แม้จะเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง และถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาพาอาวุธปืนดังกล่าวมาศาลเพื่อจะก่อเหตุร้ายอย่างหนึ่งอย่างใด ผู้ถูกกล่าวหาเป็นหญิงและมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ 1 คน ประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาได้ถูกคุมขังในคดีนี้มาเป็นเวลาระยะหนึ่ง น่าจะรู้สึกหลาบจำแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงควรปรานีให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหากลับตัวเป็นพลเมืองดีโดยรอการลงโทษจำคุกไว้ก่อน ซึ่งน่าจะเป็นผลดียิ่งกว่าลงโทษจำคุกไปเสียทีเดียว ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รอการลงโทษจำคุกให้ผู้ถูกกล่าวหา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาข้อนี้ฟังขึ้น แต่เพื่อให้หลาบจำยิ่งขึ้นเห็นสมควรให้ลงโทษปรับผู้ถูกกล่าวหาอีกสถานหนึ่งด้วย”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับผู้ถูกกล่าวหา 500 บาท อีกสถานหนึ่งโทษจำคุกของผู้ถูกกล่าวหาให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ถ้าผู้ถูกกล่าวหาไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 และ 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share