คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13649/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา เพื่อขอให้ส่งฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไปให้อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองฎีกา ศาลชั้นต้นยังไม่อ่านคำสั่งของศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา แต่เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งของศาลฎีกาซึ่งมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสี่ เท่ากับศาลฎีกามีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 คดีจึงถึงที่สุดแล้ว จึงไม่มีคดีของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่จะให้ยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ ฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวจึงไม่มีประโยชน์แก่คดีที่จะวินิจฉัยต่อไป ให้จำหน่ายคดี

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 364, 365 (1) (2), 391, 392 ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 364, 365 (1) (2), 371, 376, 391, 392 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 คนละ 4 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 10 เดือน 5 วัน จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งสี่ฎีกาพร้อมยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสี่ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ก่อนถึงวันนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้อง 2 ฉบับ ฉบับแรกขอให้ส่งฎีกาของจำเลยทั้งสี่ไปให้อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 และฉบับที่ 2 ขอให้เลื่อนหรืองดการฟังคำสั่งของศาลฎีกาออกไปก่อนเพื่อรอผลคำร้องขอให้อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องทั้งสองฉบับ ต่อมาศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้คู่ความฟังวันที่ 4 พฤศจิกายน 2556 ศาลฎีกายกคำร้อง คดีจึงถึงที่สุด
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ระหว่างฎีกาจำเลยที่ 3 และที่ 4 ขอถอนฎีกา ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า การที่ทนายจำเลยทั้งสี่ไม่ส่งฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปให้อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาเป็นความบกพร่องของทนายจำเลยทั้งสี่ไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทั้งการที่ศาลล่างทั้งสองไม่ส่งฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปให้อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงจะได้วินิจฉัยเป็นการวินิจฉัยโดยยึดตัวบทกฎหมายโดยเคร่งครัด ควรพิจารณาให้ความยุติธรรมตามความเป็นจริงด้วยนั้น เห็นว่า แม้ขณะที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฉบับแรก ศาลชั้นต้นยังไม่ได้อ่านคำสั่งของศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็ตาม แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งของศาลฎีกาดังกล่าว โดยศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสี่ เท่ากับศาลฎีกามีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ขอให้ศาลฎีกายกฟ้อง คดีจึงถึงที่สุดแล้ว ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาฉบับนี้เพื่อขอให้ส่งฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปให้อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในฎีกานั้น จึงไม่มีคดีของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่จะให้ยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ ฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวข้างต้นจึงไม่มีประโยชน์แก่คดีที่จะวินิจฉัยต่อไป ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้ออื่นมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่จำต้องวินิจฉัยอีก
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความของศาลฎีกา

Share